วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การเตรียมตัวก่อนตายอย่างสงบ: ร.4

2 - 3 วันที่แล้วได้รับหนังสืออาทิตย์อัสดง อ่านแล้วเลยอยากนำมาแชร์ ถึงความมีสติกับความพร้อมก่อนตายที่สรรเสริญและน่าเอาแบบอย่างของรัชกาลที่ 4 เรารู้กันอยู่ว่าพระองค์ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรม แต่เมื่ออ่านบทความนี้ ยิ่งทำให้ทราบถึงท่านเข้าถึงจริงๆ ขอสรุปบทความนี้แล้วกันนะคะ เพราะพิมพ์หมดก็ไม่ไหว

หลังจากร ร. 4 กลับจากดูสุริยุปราคาที่หว้ากอ ท่านมีอาการเหมือนไข้มามาเรีย หลังจากแพทย์ถวายโอสถหลายวัน ท่านก็ตรัสว่า โรคก็มาก ถ้าอาการก็เหลือมือหมอ ก็ให้พูดความจริง จะได้ทรงจัดการธุระให้เสร็จเสีย และเมื่ออาการเกินการักษา ช่วงเช้าของวันจะสวรรคต ทรงแสดงประสงค์เกี่ยวกับการจัดการพระสรีระโดยละเอียด สิ่งที่ไม่ทรงชอบก็สั่งห้ามเสีย แต่ก็ไม่ให้ขัดแย้งกับโบราณราชเพณี
ช่วงสาย ทรงมีกระแสรับสั่งกัยพระเจ้าน้องยา ขุนนาง ขอลา และฝากฝังพระราชโอรส

ช่วงเย็น ขอขมาลาพระสงฆ์ โดยมีส่วนหนึ่งกล่าวว่า "เมื่อกายของฉันกระสับกระส่าย แต่จิตของฉันจักไม่กระสับกระส่าย เพราะฉันทำตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยประการดังนี้

เป็นไงหล่ะ เราพวกหัดปฏิบัติ เจ็บป่วยยังไม่ตายก็ปากเบาโอดโอย เจอพระองค์ท่านพูดเช่นนี้ เป็นไงหล่ะ ถ้าตีความตามสติปัญญาอันน้อยนิด นี่หมายความว่าอะไร ก็หมายถึงใจ-กายท่ายแยกกันโดยสมบูรณ์แล้ว


ตลอดวันสวรรคต ร.4 เจริยสติภาวนาด้วยตนเองตั้งแต่เช้าตรู่ ทรงรับสั่งกับเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ว่า

วันนี้เป็นวันสำคัญอย่างไปข้างไหนเลย ให้คอยดูใจพ่อ ข้ารู้เวลาตายของข้า ถ้าข้าไปอย่างไรลง ก็อย่าวุ่นวายบอกหนทางว่า อรหังพุทโธเลย ให้ดูนิ่งๆ แต่ในใจเถิด เป็นธุระของข้าเอง

จนถึงพลบค่ำ พระองค์ทรงเจริญสติภาวนาจนกระทั่งเสด็จสวรรคตไปอย่างสงบทั้งๆ ที่มีอาการประชวรหนัก

โดยสรุป ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนรู้วาระของตน สามารถพาตนให้รอดไปได้ โดยมีสติรู้เนื้อรู้ตัว จัดการธุระ และวางธุระของตนลงได้ แล้วเราหล่ะ เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปโลกต่อไปหรือยัง

แต่ด้วยอานิสงส์ของการเผยแพร่บทความและการอ่านบทความนี้ ขอให้ข้าพเจ้าและผู้อ่านทุกท่าน ขอจงมีสติเอาตัวรอดในขั้นตอนในวาระสุดท้ายด้วยเถิด  สาธุ

1 ความคิดเห็น: