วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

คาถาเรียกเทวดาช่วยยามคับขัน

เมื่อวันที่ 23 -26 เมษายน ที่ผ่านมา ผู้เริ่มเดินไปเข้าคอร์สอบรมของหลวงพ่ออำนาจ โอภาโส ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วมา เอาบุญมาฝากค่ะ และตอนขากลับ หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หลวงพ่อปารมี ท่านพาไปกราบหลวงพ่อสมกิจ จรณธมฺโม  ที่สำนักสวนสมุนไพรบ้านนายม ในจังหวัดเพชรบูรณ์ เลยทำให้ทราบว่า ท่านตายและฟื้นมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 นี่เป็นการเดินทางโดยรถพร้อมหลวงพ่อปารมี แล้วรถถูกรถไฟชนตกน้ำ หลวงพ่อปารมีชนกระจกรถแล้วหนีออกทางหน้าต่าง และช่วยเหลือคนที่ไปด้วย ส่วนหลวงพ่อสมกิจตาย พอสวดอภิธรรมศพ ปรากฏท่านฟื้นขึ้นมา

หลวงพ่อสมกิจเล่าให้ฟังว่า ตอนท่านตายวิญญาณออกจากร่าง ท่านมองเห็นเหตุการณ์ที่หลวงพ่อปารมีกระดจนออกไปและไปช่วยญาติโยม และท่านก็ไปต่อที่นรก แล้วมีคนพูดว่า พาหล่องพ่อมาทำไมให้พาไปส่งคืน หลวงพ่อก็เดินตามทางออกมา เห็นคนตายด้วยน้ำจำนวนมาก เมื่อฟื้นขึ้นมาก็บอกต่อให้คนระวัง และหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดสึนามิในประเทศไทย

ท่านเล่าให้ฟังต่อว่า เห็นไฟที่ถูกคนแล้วคนละลายเลย ท่านเลยสอบถามเค้าบอกว่าเป็นไฟบรรลัยกัลที่ล้างโลก และการไปกราบท่านคราวนี้ท่านเตือนว่า

1.    เวลาเหลือไม่มากแล้วให้เร่งปฏิบัติธรรม
2.    เหตุการณ์ต่างๆ จะเลวร้ายขึ้น ประเทศไทยก็จะโดนด้วย ไม่ต้องเชื่อ แต่ให้รอดู โดยเฉพาะโรคประหลาดๆ
3.    เหตุการณ์สึนามิ หรือ ภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะ ก่อนหน้านี้มีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หลุดมาเกิดในโลกมนุษย์เยอะ ให้สังเกตว่าคนฆ่ากันง่าย คุณธรรมไม่ค่อยมี ดังนั้น ภัยธรรมชาติก็เป็นการเก็บพวกนี้กลับคืน และให้ระมัดระวัง เพราะจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก อันนี้สุฟังไม่ทัน ประมาณว่า ภายในปีนี้ปีหน้า
4.    หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ตอนท่านตายมีเทวดาองค์สีเขียว หรือท่านเรียกว่า พ่อเขียวลงมาช่วย โดยนำร่างท่านขึ้นจากน้ำ และเทวดาองค์นั้น ได้บอกมนต์คาถา สำหรับเรียกเทวดามาช่วยยามถึงคราวคับขัน และเนื่องจากท่านไม่มีสื่อจึงฝากมาบอกต่อและเผยแพร่ตัวคาถากันต่อไป


นะโม 3 จบ
ข้าพเจ้าชื่อ.....................................ขอถึงพระรัตนตรัย อันมีคุณพระพุทธรัตนะ คุณพระธรรมรัตนะ คุณพระสังฆรัตนะ และหลวงพ่อครูบาอาจารย์ทุกองค์ทุกท่าน

นะโม 3 จบ
อะนิมะเท อะนิเทหิ (3 จบ)

ลองใช้วิจารณญาณพิจารณาดูนะคะ

ปล. หลวงพ่อท่านรักษาโรคโรคด้วยสมุนไพร ใครสนใจไปรักษาได้ เท่าที่จับความได้ ตระกูลภูมิแพ้ มะเร็ง เบาหวาน สามารถไปติดต่อที่สวนสมุนไพรค่ะ

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

งานได้ผล คนมีสุข โดย หลวงพ่อมิตซูโอะ คเวสโก

เราทุกคนอยากมีความสุข ทุกคนก็แสวงหาความสุข ชีวิตครอบครัวก็อยากมีความสุข ทำงานก็อยากมีความสุข อย่างไรก็ตามถ้าเราตั้งใจไว้ว่า งานได้ผล คนมีสุข ก็ย่อมเป็นจริงได้

เราเป็นเจ้านายของงาน ไม่เป็นทาสของงาน

 เราต้องฝึกหัดว่าเราเป็นผู้ทำงาน ไม่ใช้งานใช้เรา ให้พิจารณาจุดนี้ให้ดี เราทำงานก็อย่าปล่อยให้งานพรากชีวิตเรา ถ้าเราตกเป็นทาสของงาน ก็จะทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ทำงาน หรือเป็นนายของงาน

เบื้องต้นในการปฏิบัติของเรา เราต้องเตรียมการทำงาน เริ่มตั้งแต่ก่อนนอน เริ่มวันนี้เลย ให้เราทบทวนดูชีวิตของเราในวันนี้ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง ทบทวนชีวิตตั้งแต่เช้าตื่นนอน ลองทบทวนดู พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเราระลึกถึงการกระทำของตนเองแล้วหากรู้สึกว่าไม่สบายใจ เป็นการกระทำไม่ดี ก็คือ บาป เมื่อเรารู้สึกว่าการคิด การพูด การทำ แล้วไม่สบายใจ การกระทำนั้นไม่ดี เป็นบาป เราก็ต้องตั้งใจว่าเราจะหยุดพฤติกรรมนั้นเสีย เราจะตั้งใจแก้ไขปรับปรุง การคิด การพูด การทำอะไรที่ไม่น่าสบายใจ ให้ตั้งใจว่าจะหยุด

พฤติกรรมใดที่ผ่านเราในวันนี้เมื่อระลึกถึงรู้สึกดี รู้สึกสบายใจ เราสามารถคิดดี พูดดี ทำดี รู้สึกดี รู้สึกภูมิใจ เรียกว่าเป็นบุญ เป็นความดี ถ้าเรารู้สึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ให้ตั้งใจว่าถ้าเกิดปัญหาหรือเหตุการณ์เช่นนั้นอีก เราจะตั้งใจทำความดีให้เพิ่มขึ้น



ทำความรู้สึกว่า เราอยู่คนเดียวในโลก

พระพุทธเจ้าสอนว่า เราต้องรู้จักมีเมตตา โดยให้รู้จักรักตนเองก่อน คือ ทำตัวเองให้มีความสุขในทุกสถานการณ์ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาเปรียบ หัดเมตตาแก่จิตของตนเอง หมายถึง การทำตัวให้มีความสุขในทุกสถานการณ์  เมื่อมีเหตุการณ์ใดมากระทบแล้วทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี น้อยใจ ไม่สบายใจ เสียใจ ให้รู้จักเมตตาตนเอง หมายถึงรักษาสุขภาพจิตของตนเอง ความรักเสมอตนไม่มี
หมายถึงการจิตใจของตนมีความสุขในทุกสถานการณ์ ก่อนนอนเราทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้

ทำความรู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวในโลก  อดีตไม่มี อนาคตไม่มี  คือ หยุดคิดเรื่องอดีต ทั้งเรื่องชีวิต การทำงาน ครอบครัว และหยุดวิตกกังวลถึงพรุ่งนี้ หยุดคิดเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หายใจเข้า หายใจออกยาวๆ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ทำใจสบายๆ และตรวจดูจิตว่า จิตมีความเบิกบาน มีความสบายใจไหม ให้เรารู้ว่า จิตของเราปกติ สว่างผ่องใสเป็นธรรมชาติ มนุษย์จำนวนมาก เราสามารถมีความสุขในวันนี้ เพียงหยุดคิดเรื่องอดีต หยุดคิดถึงปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องของคนอื่นและเรื่องของตนเอง ให้รู้จักปล่อยวางเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ หัดปล่อยวางเสียซึ่งความไม่สบายใจ ถ้าจิตสงบ แต่ไม่เบิกบาน ไม่ผ่องใส เราจะทำให้จิตใจผ่องใสโดยเราต้องหาอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง

ไอสไตน์ยังกล่าวว่า Imagination is most important than knowledge แม้กระทั่งไอสไตน์ยังคิดว่า จินตการสำคัญกว่าความรู้ ดังนั้นเราต้องใช้จิตนาการของเราให้เกิดประโยชน์  น้ำแข็งกับน้ำก็ต่างเป็นสิ่งเดียวกัน เราอยากให้น้ำแข็งกลายเป็นน้ำเราจะต้องทำอย่างไร เราต้องหาความร้อนมา น้ำแข็งก็จะละลายกลายเป็นน้ำ หากเปรียบเทียบว่าน้ำแข็งคือความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ น้ำคือความสบายใจ ดังนั้น ความไม่สบายใจกับความสบายใจเป็นสิ่งเดียวกัน ข้อสำคัญว่า ต้องทำใจให้หยุดคิด สิ่งที่สำคัญความไม่สบายใจ ต้องน้อมจิตเข้าไปดูด้วยจิตที่มีสติ เป็นสมาธิ หายใจเข้า หายใจออก ดูจิต จิตไม่สบายใจ โดยทำความรู้สึกว่า ความไม่สบายใจนี้คล้ายน้ำแข็ง ละลายได้ ถ้าพูดเป็นภาษาสูงขึ้นหน่อยก็พูดว่า ความไม่สบายใจเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา อาศัยจินตนาการเรียกสติ สมาธิ อารมณ์วิปัสสนาก็ได้ พร้อมกับลมหายใจเข้าออก

ลองแตะๆ สัมผัสๆ กับจิตที่ไม่สบายใจ โดยให้มีความสุข มีความปิติในขณะที่หายใจเข้าออก จะมีความรู้สึกอบอุ่นเกิดขึ้น เมื่อจิตตั้งมั่นพร้อมให้จินตนาการว่า ความไม่สบายใจนี้ไม่ใช่เรา ความไม่สบายนี้เป็นอนิจจัง เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตมีความยินดี จิตสะอาด จิตสบายใจทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เมื่อทำให้จิตมีความสุข ร่างกายก็จะดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ 1 ใน 3 เกิดจากจิตอุปาทาน จิตไม่สบายใจ จิตเครียด จิตซึมเศร้า เราต้องอาศัยจินตนาการ ทำความรู้สึกว่า หายใจเข้า หายใจออกนี้ ทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงดีขึ้น พร้อมกับการหายใจเข้า หายใจออก ทำให้สุขภาพจิตดี สุขภาพดี โรคร้ายหายไป

ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน มีความสุขก่อนนอน เป็น Key Point หัดนอนให้สบายๆ งานก็จะได้ผล ก่อนนอนสักชั่วโมง เป็นชั่วโมงสำคัญที่สุด เวลาก็สำคัญแต่ต้องหัดปล่อยวาง ทำใจให้มีความสุข นี้เป็นจุดสำคัญ ถ้าเรานอนด้วยความสบายใจมีความสุข ปล่อยวางเรื่องงานได้ก็แสดงว่า เราไม่ใช่ทาสของงาน จิตของเราก็จะเป็นอิสระ ขอให้นอนด้วยความสบายใจ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้นอนให้สบาย

ตื่นเช้าขึ้นมา ให้สังเกตดูจิต หายใจเข้า หายใจออก ดูจิตก่อน เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วดูลมหายใจ ก็ให้สังเกตดูจิต จิตดีไหม จิตเบิกบาน หรือจิตเศร้าๆ สังเกตดูจิต ถ้าจิตไม่สบายใจ ให้พยายามทำจิตให้ดียิ่งๆ ขึ้นป หายใจเข้า หายใจออก ให้จิตใจดีขึ้น พร้อมระลึกถึงความรู้สึกดีๆ สบายใจๆ ทุกครั้งพร้อมลมหายใจเข้า ลมหายใจออก สุขภสพจิตดีๆ สติก็ดีขึ้น มีความรู้สึกปิติสุขเกิดขึ้น เกิดความรู้สึกดีๆ บริเวณหน้าอก เจริญเมตตาภาวนา สติระลึกถึงความรู้สึกดีๆ

ปกติเราชอบคิดแล้วทำให้ไม่สบายใจ จิตของเราละเอียดเป็นไปอัตโนมัติตามที่เราสะสมมา เราก็น้อมเอาสิ่งเหล่านี้ เมื่อเราตั้งใจให้จิตใจมีความสุขแล้ว ตั้งใจระลึกถึงความสุข สิ่งดีๆ นี่คือ การเจริญเมตตาภาวนา เริ่มต้นตอนเข้า ตั้งใจว่าวันนี้น่าจะดี วันนี้ก็เป็นวันดี ทุกเช้าเริ่มด้วยจิตใจดี คิดว่าวันนี้น่าจะดี วันนี้ก็เป็นวันดี



การแผ่เมตตาล่วงหน้า (Future)
เราตื่นกันกี่โมง ตื่น 6 โมงก็สายแล้วนะ แนะว่าให้ดีให้ตื่นตี 5 พอตื่นขึ้นมาก็ให้นึกว่าวันนี้ 6 โมงเราทำอะไร อยู่กับใคร ก็แผ่เมตตาจิตให้สมาชิกที่เราอยู่ด้วย ขอให้ทุกคนมีความสุข และนึกว่าเวลานั้นทุกคนมีความสุข

7 โมงเช้า อยู่ไหน กำลังเดินทาง ก็คิดว่ากำลังเดินทางด้วยความสุข ต่อให้เจอรถติดก็เป็นสุข

8 โมงเช้า 9 โมงเข้า อยู่ที่  Office นึกถึงทุกคนที่ Office มีความสุข ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสฯลฯ

นึกทบทวนเวลาใด สถานที่ใด กับใคร เราก็มีความสุข บริวารของเรามีความสุข แล้วก็กลับมาอยู่ที่จิตปัจจุบัน คือ ตี 5 อย่างนี้อาจารย์เรียกว่าเป็นการแผ่เมตตาล่างหน้า

ผู้ปฏิบัติจริงๆ ดูปัจจุบัน

การดำเนินชีวิตเราต้องมีความระมัดระวังสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีสติในการคิด การพูด การทำ มีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในชีวิต นการดำเนินชีวิตมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เราก็เรียกว่า มีสติเพิ่มมากขึ้น ความผิดพลาดก็น้อยลง เมื่อเราระมัดระวังในการดำเนินชีวิตเพิ่มมากขึ้น จิตใจของเราที่มีความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกไม่สบายใจ น้อยใจ วิตกกังวล กลัว เราต้องเข้าใจชัดเจนว่า ความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในจิตใจของเรา เป็นขยะในจิตใจของเรา บางเหตุการณ์กระทบความรู้สึกของเรา ทั้งคำพูดต่างๆ เป็นเพียงสิ่งที่มากระตุ้นจิตใจของเรา ทั้งสรรเสริญ นินทา เสื่อมจากยศ เสื่อมจากลาภ จากจิตใจของเรา

ความรู้สึกต่างๆ เป็นขยะในจิตใจเรา ไม่ต้องไปห้ามไม่ให้เกิดขึ้น บ้านย่อมมีขยะ จิตใจเราย่อมมีขยะ แต่เราต้องรู้จักจัดการขยะ ไม่สบายใจก็ไม่ต้องไปห้าม แต่ทำจิตใจของเราให้สบายใจ รู้จักคิดดี คิดถูก หมายความว่า ความรู้สึกน้อยใจเกิดขึ้น ก็อย่าไปติดตามความรู้สึกน้อยใจ เพราะความน้อยใจเป็นขยะ ถ้าเราตามคิดก็เกิดเป็นมโนกรรม ออกมาทางวาจา ก็เป็นวจีกรรม หรือออกมาทางร่างกาย ก็เป็นกายกรรม ความน้อยใจ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาท ความกลัว ล้วนเป็นขยะทางอารมณ์ ข้อสำคัญ ใจสงบ ใจสบาย คิดดี คิดถูก

ใช้สติปัญญาดูความรู้สึกว่า ความรู้สึกที่เป็นขยะทางจิตใจ ถ้าคิดดี คิดถึงสติปัญญา คิดถูกว่า เป็นความรู้สึกไม่ดี เป็นขยะปล่อยไปเสีย ความไม่สบายใจก็หายไป

เราต้องมีอุบายของตนเอง เราจะทำอย่างไรในการเอาขยะออกจากใจของเรา ทุกข์ สุข สรรเสริญ นินทา มากระทบจิตใจเรา เราเลี่ยงไม่ได้ พระพุทธเจ้า หรือศาสดาของศาสนาใดๆ ก็ตามก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติเปรียบเหมือนลม ฝน แดด เป็นต้น ไม่สามารถเลี่ยงได้

ปัญหาต่างๆ ในที่ทำงานเช่นกันเราเลี่ยงไม่ได้ ห้ามไม่ได้ เราต้องทำจิตใจของเราให้มั่น ให้ดี เมื่อมีเหตุการณ์ใดมากระทบต้องรับแก้ไขทันที สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถรักษาสุขภาพใจเราให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์ให้เราไม่สบายใจ กำหนดรู้เท่านั้นว่า ความไม่สบายใจนี้ไม่ใช่เรา มันตั้งอยู่ไม่ได้ เมื่อมีความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้น ให้ตั้งสติว่า หินน้อยๆ หมายถึง สติที่ระลึกในจิตใจที่ดี จิตของเราใสตามธรรมชาติ อารมณ์เป็นขยะปฏิกูล หายใจเข้า  หายใจออก ก็คิดอย่างนี้ และอารมณ์ต่างๆ นั้นก็จะหายไป

ความรู้สึกเกิดขึ้น เราเป็นผู้มีความยึดมั่นถือมั่นเข้าไปยุ่งกับอารมณ์ จะมีการปรุงแต่ง เราต้องมีสติ เรียกสติกลับมา ลองดูความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ จัดการแก้ไขด้วยการหายใจเข้า หายใจออก กลับไปกลับมาต่อเนื่องกันไป แล้วความไม่สบายใจก็จะหายไป สำหรับพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวก ขยะในใจไม่มี เพราะไม่มีกิเลส เรายังมีกิเลสย่อมมีขยะในใจ เราต้องรู้จักวิธีในการจัดการ

หมดกิเลส หมดขยะ
ความไม่สบายใจเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ต้องไปห้าม แต่เราต้องอย่ายึดมั่นถือมั่น อย่าให้เกิดมโนกรรมด้วยการคิดๆ ๆ ๆ พูด ๆๆๆ ทำ ๆๆๆ ให้จัดการปรับปรุงแก้ไขเฉพาะในใจเรา เราต้องคิดดี พูดดี ทำดี ในทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น



คิดดี คิดอย่างไร
การคิดดี พูดดี ทำดี เพราะใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้าของชีวิต เมื่อคิดดีแล้ว ก็จะพูดดี ทำดี แต่เป็นเพราะเรายังมนุษย์ตระกูลขี้ต่างๆ (ขี้น้อยใจ ขี้โกรธ ฯลฯ) ก็ยังสามารถเกิดขึ้น เราต้องตั้งใจว่าจะคิดดี พูดดี ทำดี จุดนี้เป็นจุดสำคัญ เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตกเป็นทาสของความไม่สบายใจ เราต้องอยู่เหนืออารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าเราสามารถจัดการอารมณ์ต่างๆ ได้ เราก็จะสามารถเข้าใจอารมณ์ของตนเอง เข้าใจอารมณ์ของเพื่อนๆ ที่มีอารมณ์นั้นๆ เราก็จะพยายามรักษาอารมณ์ของตนเอง เข้าใจตนเอง แล้วเข้าใจเพื่อนร่วมงาน เราก็จะเกิดเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมงาน

ทุกคนเป็นเหมือนกันทุกคน เรามีอารมณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจของเรา ที่ทำงานก็เป็นกันครบ ถ้าเราเข้าใจตัวเรา เราก็จะเข้าใจเขา ทำงานด้วยกัน เค้าจะด่า จะว่า เราก็ทำใจได้ เราก็จะสามารถทำหน้าที่ของเราได้สมบูรณ์

เข้าใจอารมณ์ตนเอง เข้าใจตนเอง เมตตากรุณาเกิดขึ้น ทำงานไม่ขัดแย้ง เราจะพยายามหาหนทางว่า ทำงานอย่างไรจะทำให้งานนี้ดี

พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้โลกะวิทู แปลว่าอะไร แปลว่า ท่านรู้แจ้งซึ่งโลก เพราะท่านเข้าใจตนเอง เราพยายามดูจิตใจของตนเองให้พิจารณาใจของตนเองตลอดเวลา เราจะพยายามศึกษาอารมณ์ต่างๆ ของตนเองที่เกิดขึ้น พยายามเข้าใจอารมณ์ตนเอง เราจะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น การทำงานก็จะดีขึ้น

ธรรมชาติของจิตใจที่ไม่เหมือนกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน ชีวิตของเราเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารต่างกันมากมาย เราจึงคิดและรู้สึกต่างกัน ทั้งชอบ  ไม่ชอบ หรือเรียกว่า นานาจิตตัง ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็เอาแต่อารมณ์ตนเอง งานก็มีปัญหา ถ้าทำงานด้วยกัน เจอคน 100 คน ก็เหมือนมีผลไม้อยู่ 100 ชนิด เป็นสวนผลไม้รวม ทีนี้ลองดูว่าเราเหมือนผลไม้อะไร เราลองสังเกตเราชอบผลไม้อะไรจากผลไม้นานาชนิด อย่างเราเรียนมาสูง เราคิดว่าเป็นทุเรียน ราชาของผลไม้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะชอบทุเรียน บางคนก็ไม่ชอบ ว่ามีกลิ่นเหม็นบ้าง ราคาแพงบ้าง บางผลไม้เราชอบแต่คนอื่นไม่ชอบก็มี ดังนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่ให้เราไปยินดียินร้ายกับความชอบ ไม่ชอบในผลไม้ต่างๆ ให้เราวางใจให้เป็นกลางๆ ผลไม้บางอย่างเราชอบแต่ก็ไม่อร่อย ผลไม้ที่อร่อยเราก็อาจไม่ชอบ ผลไม้บางอย่างมีคุณค่าทางอาหารเราก็อาจไม่ชอบ สิ่งที่เราชอบอาจไม่มีคุณค่าทางอาหาร ดังนั้นให้พิจารณาว่าความชอบไม่ชอบเป็นความรู้สึก ความมีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นยินดียินร้ายต่ออารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น หรืออย่ามีความลำเอียงหรือ อคติ ทั้ง โมหะคติ ลำเอียงเพราะความชอบ โทสะคติ ละเอียงเพราะความโกรธ หรือ ภยคติ ลำเอียงเพราะความกลัว

การทำงานเราอย่าลำเอียงเพราะชอบ ไม่ชอบ หรือมีอคติ เมื่อเกิดความรู้สึกเกิดขึ้นก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปยินดียินร้าย ต้องอบรมจิตใจของเราให้ใจเย็นๆ ต้องค่อยศึกษาคุณภาพย่อมดี ตัวอย่างเช่น อาหารนี้ดีมีประโยชน์ เราก็อย่าหลงใหล ทำใจเป็นกลาง เราก็จะมีความคล่องตัว เช่นเดียวกับการทำงาน ถ้าเราลำเอียง เราก็จะทำงานไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมาย งานอาจไม่เป็นทีม จิตใจต้องเป็นกลางออกจากอคติ ความรู้สึกส่วนตัว ต้องรู้เท่าทันความรู้สึก การทำงานจริงๆ เราต้องแยกและรักษาจิตใจของเราให้ดี มีสติปัญญา มีความระมัดระวัง ความเสียหายก็จะไม่เกิดขึ้น เราต้องเข้าใจจุดนี้ ถ้าไม่เข้าใจเราก็สร้างปัญหาได้เหมือนกันผลไม้ที่เราชอบคนอื่นไม่ชอบก็มี ดังนั้น อย่าเชื่อความรู้สึก อย่ายึดมั่นถือมั่น จิตใจของเราก็จะเป็นอิสระเพิ่มมากขึ้น เราจะเป็นนายของอารมณ์ เป็นนายของความรู้สึก ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น เราก็จะเป็นทาสของอารมณ์ เราก็ไม่มีอิสระ

สิ่งเหล่านี้เราต้องมองดูตนเองและมองดูผู้อื่นด้วย ถ้าเราเป็นอิสระ ทำงานเพื่อทำงาน ทำงานย่อมได้ผลดี เข้าใจตนเอง ย่อมเข้าใจผู้อื่นด้วย พยายามสังเกตศึกษาตนเอง ทุกอย่างอยู่ที่ใจถ้าเข้าใจตนเองย่อมเข้าใจผู้อื่น

ความรู้สึกของเราต่างกันมาก เช่น ตุ๊กแกตัวหนึ่งก็ทำให้เกิดความคิดความรู้สึกแตกต่างกันไป ถ้าคนทำความสะอาดได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องก็จะไม่พอใจ เพราะแสดงว่าสถานที่นั่นสกปรก อีกคนได้ยินอาจไม่ชอบเพราะน่ารำคาญ อีกคนได้ยิน อาจคิดว่าอร่อยเพราะเคยกินมาก่อน บางคนได้ยินมีความสุข คิดถึงตอนที่อยู่พร้อมหน้าล้อมวงกินข้าวกินตุ๊กแกย่างกับครอบครัว  ส่วนคนที่จับตุ๊กแกขายได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องก็คิดตีราคา นึกคิดว่ามีกี่ตัว บางคนกลัวตุ๊กแก ได้ยินเสียงร้องบอกว่าอยู่ร่วมศาลาเดียวกันก็นอนไม่หลับ นี้แค่ตุ๊กแกตัวเดียวยังมีความคิด ความรู้สึกต่างกันขนาดนี้

คนชอบมักมีความชอบด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และไม่ชอบด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ดังนั้นหากในกรณีนี้สมมติว่า ตอนนี้เราเป็นตุ๊กแก คนจะชอบหรือไม่ชอบเรา ก็ไม่เกี่ยวกับเรา เราห้ามความคิด ความรู้สึกของเขาไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องอย่าไปยินดียินร้ายกับอารมณ์ ทำใจให้เป็นกลางๆ ทำให้เราสบายใจ เจริญเมตตาภาวนา รู้จักจัดการอารมณ์โดยการยิ้มน้อยๆ ในใจ หายใจเข้า หายใจออก ยาวๆ ทำใจสบายๆ เราก็จะรักษาจิตใจของเราได้

เสวนาธรรม เรื่อง “ธุรกิจการเงินและการธนาคาร กับธรรมวิถีในสังคมปัจจุบัน” ที่ SCB Park โดย หลวงพ่ออริยะวังโส

โดยสรุปเมื่อพูดถึงเรื่องธรรมวิถีของแต่ละธุรกิจ ก็หมายความถึงจริยธรรมของแต่ละธุรกิจนั่นเอง ซึ่งในธุรกิจการเงินและการธนาคาร จริยธรรมหลัก น่าจะหมายถึง ความซื่อสัตย์ ความโปร่งใส ถ้าในธุรกิจในการใช้จริยธรรมเหมือนกันหมดก็ไม่มีปัญหา แต่หากเราดูในธุรกิจที่เราต้องแข่งขัน พบว่าเราอยู่ด้วยจริยธรรม แต่คู่แข่งไม่ได้อยู่ด้วยจริยธรรม เราจะสู้เค้าได้อย่างไร ตัวเราเองก็ต้องพิจารณาว่า เราจะยึดคุณธรรมความถูกต้อง หรือยอมลดมาตรฐานจริยธรรมของเราลงไปแข่งขันกับเค้า หรือหากในกรณีที่เราแข่งขันกับเค้า เราต้องรู้จักวางรากฐานที่ใจของเราให้ดีก่อนเริ่มดำเนินการ ถ้าเราเริ่มด้วยการมีกิเลสเป็นตัวผลักดัน อยากมี อยากได้ อยากเป็น เราก็ทำให้จริยธรรมของเราต่ำลง

ต่อข้อถามของวิทยากรว่า กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ถือว่าเป็นตัวก่อหนี้ ธุรกิจสร้างหนี้ ซึ่งส่งเสริมให้คนไม่รักษาวินัยทางการเงิน พอมีหนี้ก็จะนำมาซึ่งทุกข์ เราอยู่ในธุรกิจอย่างนี้มีผลกระทบอย่างไรกับตัวเรา พระอาจารย์อารยะวังโส ตอบประมาณว่า คนเราหากโลภเอง โมโหเอง มันก็เป็นกิเลสเบื้องต้น แต่หากเราอยู่ในธุรกิจธนาคารแล้วออกแคมเปญยั่วยุให้คนเกิดกิเลสเพราะเราหวังกอบโกย อย่างนี้เรามีความผิดมากกว่า เป็นกิเลสในระดับที่รุนแรงขึ้นไปอีก  ถ้าเราไม่โฆษณา เค้าก็ไม่สร้างหนี้ไม่เป็นภาระใช่หรือไม่ ทั้งนี้ให้ย้อนกลับมาดูที่กิเลสของเราเหมือนเดิมว่า เราอยากได้ อยากกอบโกย เราถึงไปยั่วให้เค้าเกิดกิเลส แล้วดำเนินการตามแผนการของเรา อย่างนี้โทษรุนแรงกว่า อย่างอาชีพดารา นักแสดง มีการยั่วยุให้กิเลสเพิ่มขึ้น อย่างนี้เราก็บาปเพิ่มขึ้น และหากเราเป็นฝั่งตรงข้าม ถูกยั่วยุ ก็ให้มีสติ พิจารณากิเลสของเรา อย่าให้มาครอบงำ (ซื้อได้ มีได้ แต่อย่าให้สิ่งที่มีมาครอบงำเรา เช่น ทำงานจนได้ตำแหน่ง ก็อย่างให้ตำแหน่งเป็นตัวผลักดันไปสร้างกิเลสอื่นๆ อีก

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนจะเห็นว่า มีผลต่อการประกอบอาชีพ พระพุทธเจ้าถึงมีการเทศนาถึงการประกอบอาชีพอันชอบ มาถึงตอนนี้เราก็อาจบอกว่า อย่างนี้เราก็ขัดแย้งกับโลก แต่จริงๆ แล้วโลกต่างหากที่ขัดแย้งกับเรา พระพุทธเจ้าเคยเทศน์ เราไม่ให้ขัดแย้งกับโลก แต่โลกที่ขัดแย้งกับเรา (ปล. ด้วยความเห็นของผู้เริ่มเดิน ผู้เริ่มเดินเข้าใจว่า โลกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงโลกที่เป็นธรรมชาติ แต่หมายถึงคนและการดำเนินชีวิตของคนที่อยู่ในโลกที่มัวเมาด้วยกิเลส อันนี้ถูกผิดไม่รู้นะคะ)

วิทยากรถามเพิ่มเติมว่า อย่างธุรกิจธนาคารแม้ว่าจะสนับสนุนคนก่อหนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างรายได้ให้ผู้มีเงินออม อย่างนี้ถือว่าไม่เข้ากับเกณฑ์ที่หลวงพ่ออธิบายข้างต้นหรือไม่ ซึ่งหลวงพ่อตอบว่า มันคนละเรื่องกัน ทุกอย่างให้เริ่มดูที่ต้นตอว่ามาจากกิเลสของเราหรือไม่ ถ้าใช่ มาจากกิเลสเรา เราก็บาป ก็ผิด ดังนั้น เราก็ต้องคอยมั่นตรวจสอบดูแลจิตใจของเราว่า กิเลสมันเพิ่มขึ้นลดลงอย่างไร และเราก็มีหน้าที่ที่ต้องทำให้มันลดลงอยู่เรื่อยๆ
โดยสรุป ให้เราตั้งมั่นให้คุณธรรม และความดีของเรา และให้เชื่อมสั่นว่าความดีต่างๆ ที่เราทำ จะปกป้องเราในที่สุด

บทเรียนมาแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น - 3

เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เสียทีจริงๆ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ คุณรู้กันไหมว่า กว่าเราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์มันอยากแค่ไหน อย่าบอกนะว่าไม่ยากหรอกก็แค่ผลผลิตของการมีเพศสัมพันธ์ เราลองพิจารณาดูสิ หากเรายังไม่มีความเชื่อเรื่องภพภูมิ ไม่ต้องพูดถึงภพภูมิที่มองไม่เห็น เทวดา พรหม ไม่ต้องพูดถึง เราลองมาดูกัน เราพิจารณาในบริเวณบ้านของเรา เรากล้าตอบเต็มปากเต็มคำหรือเปล่าว่า อันตัวเรา กับสัตว์ตระกูลมดแมลงในบ้านของเราใครมีมากกว่ากัน แล้วมีเหตุผลกลใดทำให้เราเกิดเป็นมนุษย์ไม่เกิดเป็นมด แมลง ในบ้านของเรา อย่าตอบเชียวนะว่า ก็พ่อแม่เราไม่ได้เป็นมด แมลง ซึ่งว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์นั่นก็ใช่ แต่ลองคิดให้ลึกกว่านั้น เรามีกรรมเวรผูกพันใดทำให้มาเกิดกับพ่อแม่คนนี้ทำไมไม่เป็นคนอื่น ทำไมเราไม่ไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีมีคนรองมือรองเท้า คิดกันบ้างหรือเปล่า

ถ้าว่าตามความรู้ทางศาสนา เคยได้ยินมาแต่อาจจำได้ไม่หมด การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ยากขนาดว่า ทั่วทั้งมหาสมุทรทั้ง 4 มีดุมเกวียน มีรูขนาดเอาไม้แหย่ได้ (เปลี่ยนแปลงนึดนึงจะได้เห็นภาพ) มีเต่าตาบอดตัวนึง เวลายาวนานเป็นกัปเป็นกัลป์จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำสักทีนึง โอกาสเกิดเป็นมนุษย์เท่ากับการที่เต่าตาบอดตัวนี้โผล่มาเหนือน้ำแล้วหัวของเต่าเสียบเข้าไปในรูดุมเกวียนที่ลอย เท่งเต้งอยู่กลางมหาสมุทร คิดดูสิมันยากแค่ไหน วันใดที่เราคิดทำร้ายตนเอง คิดฆ่าตัวตาย ก็นึกให้ทันนะ ชาติหน้าไม่ได้เป็นมนุษย์แน่ ดังนั้นเราได้ภพภูมิที่ดีแล้ว เราใช้โอกาสของเราคุ้มค่าหรือยัง

พวกทัพพีไม่รู้รสแกง

เป็นกันจริงๆ จังๆ เราก็เป็นไอ้ทัพพีนี้ ทัพพีมันอยู่ในแกงหม้อไหน อาหารมีราคาแพงแค่ไหน เราก็ไม่รู้รส ก็เหมือนเราเกิดในพุทธศาสนา ประเทศไทยหาวัดวาได้มากแทบจะที่สุดในโลก แต่เรากลับรู้แค่ความรู้พื้นๆ ของพุทธศาสนา ซึ่งศาสนาอื่นก็มี ซึ่งความรู้พื้นๆ ช่วยให้หลุดพ้นหรือป่าว บางทีก็กลายเป็นการสนับสนุนกิเลสอีกต่างหาก มัวกิเลส เมาบุญ

รู้ไหมมีคนเปรียบเทียบว่า โอกาสเกิดเป็นมนุษย์ว่ายากแล้วโอกาสเกิดมาเจอพุทธศาสนายิ่งยากยิ่งขึ้น ดูทางสถิติของโลก คนนับถือศาสนาพุทธทั่วโลกมีประมาณร้อยละ 6 ของประชากรโลกเท่านั้น ประเทศไทยคนนับถือศาสนาพุทธแทบจะเดินชนกันตาย รู้อะไรบางหล่ะเกี่ยวกับศาสนาพุทธ พุทธตามทะเบียนบ้านกันทั้งนั้น

เราเองก็เป็นคิดได้ แต่ทำไม่ได้ ก็พยายามทำอยู่ แต่เห็นใจเพื่อนๆ ด้วยกัน เค้าบอกให้เขียนออกมาก็ต้องเขียน กลับมาว่ากันต่อ โอกาสเจอศาสนาพุทธนั้น ผู้รู้เปรียบไว้ว่า ถ้าโคตัวนึง จำนวนคนเท่ากับจำนวนคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ และจำนวนเขาโค เท่ากับจำนวนคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา ดังนั้น ท่านๆ คิดเอาเองว่าโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา

น่าเสียโอกาสแค่ไหนที่ท่านเรียนรู้แค่ธรรมะเบื้องต้น เพลินใจ ใจชื้นกับการให้ทาน ศีลไม่สนใจรักษา ภาวนาไม่เคยลองดู มองผ่านๆ เห็นคนเริ่มตื่น เริ่มเดิน เริ่มหัดปฏิบัติก็คิดว่าเป็นของแปลก คิดแค่นี้ยังดี หากไปดูต่อว่าไอ้พวกปฏิบัตินี้ ทำไมมันปฏิบัติเราเป็นอย่างนี้ เราไม่ปฏิบัติเรายังเป็นที่ดีกว่า ขอให้จำให้เป็นจริงๆ จังๆ เลยว่า เวลาคนอื่นเค้าปฏิบัติอยู่ก็คือช่วงเวลาในการขัดเกลาของเค้า เค้าไม่ปฏิบัติคงยิ่งกว่านี้ และเค้าเป็นอย่างไร ทำอะไรก็เรื่องของเค้า แต่เรากลับใช้เรื่องของเค้ามีตัดรอนโอกาสทำดีของเรา นั้นก็กรรมของเรา

ว่าจะเขียนแค่นี้แล้วหยุดไว้ก่อน ก็มีเหตุการณ์มาทำให้ต้องเขียนต่อไป สงสัยต้องเขียนให้เสร็จทีเดียว

กลับมาว่ากันต่อ คราวนี้มาพิจารณาว่า เราใช้โอกาสคุ้มค่าไหม ของมีค่ามีคุณสูงสุด ใกล้ตัวไม่รู้จัก ไม่มีเวลา แต่เวลาไปต่อแถวคิวยาวซื้อโดนัท ซื้อเครื่องมือสื่อสารนะทำได้ ลองคิดดู คิดดูให้บ่อยๆ จะได้รีบลงมือปฏิบัติ รู้ได้ไงว่าเราจะไม่ตายในวันนี้พรุ่งนี้ ว่าไปว่ามา ก็เราเป็นทัพพีจะไปรู้รสแกงได้อย่างไร

โอกาสดีในการทำบุญใหญ่ให้ญี่ปุ่น

ในเหตุการณ์เศร้า เหตุการณ์เลวร้ายนี้ เราจะทำบุญใหญ่ให้ได้อย่างไร เราตั้งจิตดีๆ ยกให้คนญี่ปุ่นที่ตายเป็นครูของเรา หนึ่ง ความตายเป็นของแน่นอน ทุกคนต้องตายแน่ สัตว์โลกมีกรรมเป็นของโลก ให้เร่งหน้าลงมือปฏิบัติซะ อย่ามัวอ้างโน้นอ้างนี่ สอง โอกาสที่เราดีกว่า ยังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่ ใช้โอกาสให้คุ้มค่า ลงมือปฏิบัติซะ ตอนเช้าอารมณ์ท้อแท้ไม่อยากปฏิบัติ ญี่ปุ่นมาเป็นครูเรา มีการถามตัวเองว่า เราทำไมไม่มีความเพียรเลย คนญี่ปุ่นเหล่านั้นเค้าหมดโอกาสแล้ว ทำไมเราไม่ใช้โอกาสของเราที่มีให้ดีที่สุด เท่านั้นหล่ะ จิตก็ตื่นตัวขึ้นมา พอเป็นอีกก็ใช้อุบายนี้เลย ก้ลองใช้กันดู เผื่อจะหายขี้เกียจ เผื่อจะขยันขึ้นมาบ้าง

อ่านมาซะยืดยาวไม่ใช่อะไรหรอก มีความจำเป็นต้องเขียน และรู้ว่าวัตถุประสงค์ของคนที่ให้เขียน เค้าคงมีเจตนาให้เขียนให้เกิดความสำนึกทั้งคนเขียนและคนอ่าน ก็เขียนมาซะขนาดนี้แล้ว ท่านๆ ก็คงจะพอใจ หากคนอ่านคิดว่าก้าวล่วงใดๆ ก็ขออโหสิกรรม ณ ตรงนี้เลย ถ้าคิดว่าเป็นประโยชน์ (สำนึกตัวแบบไม่โกรธคนเขียน) ก็ขออนุโมทนา สาธุเอาแล้วกันนะ และหากใครสามารถเพียรข้ามฝั่งได้ ก็อย่าลืมแผ่ส่วนบุญให้ทั้งคนเขียนและเพื่อนที่มีโอกาสได้อ่านงานนี้ก็แล้วกัน

ผู้เริ่มเดิน
17 มีนาคม 2554
19.00 น.


บทเรียนมาแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น - 2

คิดไหม ว่าจะตายวันนี้

มาคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนญี่ปุ่นเราจะคิดไหมว่าวันนั้นเป็นวันตายของเรา จะมีเหตุการณ์เข้ามาแล้วทำให้เราตายกะทันหันอย่างนั้น ตอบให้เลยก็ได้ว่า เราไม่เคยคิด

จากกรณีนี้เราก็เห็นแล้วว่าความตายเป็นของแน่นอน เราทุกคนต้องตายแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามาถึงเมื่อไหร่เท่านั้น ดังนั้นจากการเรียนรู้ การปฏิบัติธรรมเบื้องต้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เรารับรู้ รับทราบว่า เวลาตายสำคัญที่สุด คิด / รู้สึก อย่างไรก่อนตายก็เป็นตามภพภูมิต่างๆ กัน

หากขณะตาย เรารู้สึกกลัว หรือตายแบบหลงๆ ก็อาจทำให้เรามีภพภูมิเป็นสัตว์เดรฉาน เราอยากให้ชาติใหม่ของเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เราจะทำอย่างไรให้ช่วงเวลาสุดท้ายของเราคิดถึงสิ่งที่ดีๆ เราก็ต้องสร้างความเคยชินกับจิตของเราให้เรามีความคิดฝ่ายดี จะพุทโธ พุทโธ หรือ ระลึกถึงคุณงามความดีของตนเองก็ต้องทำให้เคยชิน เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จิตเราจะอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมมติว่าเรากำลังเจอซึนามิ เราพยายามต่อสู้แล้ว พยายามเต็มที่แล้ว แต่บังเอิญว่าถึงเวลาของเรา เราเริ่มเจ็บปวดเพราะแรงกดของน้ำปริมาณมหาศาลเข้ามากระทบ เริ่มหายใจไม่ออก หายใจติดขัด หากเราไม่ได้ฝึกจิต เราก็จะคิดถึงความเจ็บปวด เราคงไม่คิดไปถึงพุทโธหรอก หรือไม่แว่บนึงของจิตอาจคิดไปถึงคนข้างหลัง แล้วคิดดูภพภูมิใหม่ของเราจะเป็นอย่างไร ดังนั้น บอกตัวเองไว้นะ ว่าความตายแน่นอนเสมอ ยังไงเราต้องตายแน่ๆ แต่ตายอย่างไรจึงจะไปดี เราก็รู้ ฉะนั้นหัดกำหนดซะ


ความโชคร้ายของคนญี่ปุ่น ความโชคดีของเรา

นี่ไม่ใช่การพิจารณาเปรียบเทียบไทยกับญี่ปุ่น แต่หมายความว่า คนญี่ปุ่นอยู่ในประเทศเศรษฐกิจที่ดี แต่มาตายง่ายๆ ดายๆ กับภัยธรรมชาติ เค้าหมดโอกาสได้ตั้งตัว หมดโอกาสได้ทำความดี หมดโอกาสในการใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ ขณะที่พิจารณาเราตอนนี้ เรามีชีวิตดี เกิดมาเป็นคน มีแขนขาครบถ้วน มีอาหาร หยูกยาเพียงพอ ทำไมเราเอาดีไม่ได้ ก็บอกกันอยู่แล้ว KPI ของนักปฏิบัติ ทำอย่างไรภพชาติที่เราต้องการเวียนว่ายเหลือน้อยที่สุด ทำอย่างไรเราจะเข้านิพพานได้ แต่กันมาดูการปฏิบัติของเรา ดูสิว่ามันสมควรแก่เหตุแก่ผลไหม เรามีชีวิต มีโอกาสในการใช้ชีวิต แตกต่างจากชาวญี่ปุ่นที่หมดโอกาสใช้ชีวิตในโลกนี้ในภพภูมิมนุษย์แล้ว เราใช้โอกาสของเราคุ้มค่าหรือไม่ คำตอบก็คือ เปล่าเลย เราใช้ชีวิตของเราลื่นทะไหลทะเหลือกตามยถากรรม ขอตามใจกิเลส เมื่อกิเลสมันมีบ่วงล่อที่น่าสนุกสนาน เราก็ไม่สนใจแล้วการปฏิบัติธรรมะ

เราบอกว่า ไม่มีเวลา ไม่มีเวลาหรอกสำหรับการปฏิบัติธรรม แต่เรามีเวลาดูโทรทัศน์ มีเวลาฟังเพลง ถามว่าเวลาตายโทรทัศน์กับเพลงช่วยเราเปลี่ยนภพภูมิได้หรือเปล่า ก็เปล่าตามเคย เคยชินมากเลยกับการทำอะไรที่สร้างความสุขให้ตนเอง จนลืมไปว่า การสร้างความสุขให้ตนเองนั้น ความสุขมันก็มาแป่บเดียว เดี๋ยวมันก็หายไปอีก นั่นแหละก็คือจังหวะของความทุกข์ แต่เราก็มองไม่เห็น เราก็ไปตามใจกิเลสอีก เข้าใจว่าตามต้องการแล้วเป็นความทุกข์ น่าอเนจอนาถใจไหม

บทเรียนมาแผ่นดินไหวและสึนามิในประเทศญี่ปุ่น - 1

เช้านี้ปฏิบัติธรรมแล้ว รู้สึกฟุ้งซ่าน มีความรู้สึกว่าจำเป็นต้องเขียนอะไรออกมาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประเทศญี่ปุ่น ถ้าไม่เขียนมันก็ยังคงฟุ้งอยู่ ก็เลยขออนุญาตถ่ายทอด ณ ที่นี้เลย

จิตเศร้า จิตซึม จิตหดหู่

นี่คือสภาวะจิตของเราก่อนเกิดเหตุการณ์ในญี่ปุ่น 2 3 วัน และหลังจากทราบข่าวความสูญเสียและความเสียหาย สภาวะจิตที่ยังรักษาไม่ดีก็มีอาการสั่นไหว แต่เราพึงตัดความรู้สึกดังกล่าวได้แค่คิดว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน ดังนั้นเราจะเรียนรู้อะไรได้บางจากกรณีนี้

ทำไมต้องที่นี่ ทำไมต้องเป็นคนญี่ปุ่น

สัญญาที่มี ดึงคำตอบเรื่องนี้มาจากครั้งที่ไปปฏิบัติธรรม ณ ที่แห่งหนึ่ง มีคนเรียนถามพระอาจารย์ว่า ทำไมผู้คนจึงสูญเสียมากมาย ตายพร้อมๆ กัน ในเหตุการณ์สึนามิที่บริเวณมหาสมุทรดินเดียที่ประเทศไทยก็โดนด้วย และที่อินโดนีเซียเสียชีวิตเป็นแสนคน คนเหล่านี้ทำกรรมใดไว้ ทำไมถึงได้รับผลกรรมเช่นนี้ อาจารย์ในชี้แจงว่า หากพิจารณาตามกฎแห่งกรรม การตายก่อนวัยอันควรมีจากศีลข้อ 1 เรื่องการฆ่าการรังแกสัตว์ ดังนั้น ในลักษณะที่เกิดขึ้น คนเหล่านี้เคยร่วมทำกรรมร่วมกัน เช่น การขายอาวุธสงคราม การประดิษฐ์ระเบิดนิวเคลียร์ อันมีผลให้ผู้คนสูญเสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้น ลักษณะผลกรรมจึงเป็นเช่นนี้

ดังนั้น หากเปรียบเทียบสิ่งที่ได้รับยินได้ฟังมานี้ ลองพิจารณากับคนที่ประเทศญี่ปุ่น เราบางคนก็รู้สึกสงสาร เห็นใจ เศร้าใจ หดหู่ใจ ยิ่งเห็นว่า คนญี่ปุ่นมีระเบียบมีวินัย มีสติ ทำไมถึงได้รับผลกรรมเช่นนี้

หากเราพิจารณาให้แง่มุมของกฎแห่งกรรม (กฎแห่งการกระทำและการรับผลของการกระทำ) เราอาจสรุปได้เหมือนกันว่า ประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี มีการประดิษฐ์อุปกรณ์นู้นนี่เยอะแยะไปหมด อีกทั้งหยูกยาฆ่าแมลงต่างๆ ก็มากมาย มองไปหากเราเทียบเทียบ 1 ชีวิตต่อ 1 ชีวิต ไม่ดูภพภูมิที่ต่างกัน ก็เท่ากับว่าญี่ปุ่นทำปาณาติบาตค่อนข้างมาก หรืออาจทำกรรมร่วมกันที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตพร้อมกันจำนวนมาก

เราในฐานะชาวพุทธ เราฟัง เราก็อย่าปล่อยใจให้หดหู่ ซึมเศร้า แต่จิตมีอาการดังกล่าวก็อย่าไปปฏิเสธ แต่ก็ให้รู้ตัวให้ทัน

เราต้องรับรู้ว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ชาวญี่ปุ่นก็มีกรรมที่เป็นเช่นนั้น แล้วเราหล่ะ ทำกรรมใดไว้ อดีตชาติไม่อาจรู้ แต่กรรมนั้นก็ส่งผลแน่นอน กฎแห่งกรรมมีความยุติธรรมเสมอ ดังนั้น เรามีหน้าที่ใดในชาตินี้ก็ทำซะ สะสม สั่งสมกรรมดีไว้

โครงการปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศล ชมรมกล้าธรรม ณ วัดสระกะเทียม จ.นครปฐม

พอดีได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดสระกะเทียมมา พลังงานเหลือเฟือ ได้ความรู้ว่าแยะเลยขอ Share หน่อย

รู้จักวัดสระกะเทียม
เพิ่มรู้จักวัดสระกะเทียมก็คราวนี้ วัดนี้เป็นสายธรรมยุติ ที่มีการส่งเสริมการปฎิบัติธรรม ท่านเจ้าอาวาสชื่อพระอาจารย์สุพรชัย สารธัมมโม เป็นพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกองค์หนึ่ง ท่านเริ่มปฏิบัติด้วยตนเอง โดยยึดตามคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เท่าที่ได้รับฟังไวยาวัจจกรวัด ทราบว่า ท่านปฏิบัติด้วยตนเองค่อนข้างเข้มข้น และจากเมตตาของท่านที่เปิดโอกาสให้สอบถามข้อคิดเห็นทำให้เห็นว่า ท่านเป็นพระที่เราสามารถยึดเป็นที่พึ่งได้อีกองค์หนึ่ง
วัดสระกะเทียม มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางแต่ที่น่าสนใจกว่านั้น คือชาวบ้านแถบนั้นสนในปฏิบัติธรรมกันมากจนน่าตกใจ วันมาฆบูชา มีประชาชนมาจนเต็มศาลา และทางวัดก็มีระบบการจัดการค่อนข้างดี สังเกตได้จาก ไวยยาวัจกรวัดแจ้งข่าวงานบุญว่า เดี๋ยวจะมีงานบุญ ไม่ต้องเตรียมของมาหรอกในแต่ละหมู่บ้าน  เดี๋ยวของถวายจะล้นวัด ใครสนใจร่วมบุญก็ติดต่อไวยยาฯ เพื่อจัดเตรียมเลย นี้ก็สะท้อนว่าชาวบ้านรักและศรัทธาในวัดและองค์หลวงพ่อจริงๆ


การปฏิบัติ
หลังจากหลวงพ่อให้กรรมฐานที่ศาลาสารธัมโมในช่วงค่ำของวันแรก สมาทานอุโบสถศีลแล้ว สวดมนต์ทำวัตร และแยกย้ายกันตั้งเต้นท์หรือพักบนศาลากันตามอัธยาศัย สุเลือกที่จะตั้งเต้นท์ แต่ตอนเราไปถึงก็เกิน 2 ทุ่มแล้ว ดังนั้นเราก็เลยตั้งเต้นท์ติดๆ กัน จนอาจารย์ปิยะนาถแซวว่า กล้าๆ กันหน่อย เลยย้ายเต้นท์ออกไปไกลสุดเลย ตื่นมาตอนเช้าเป็นวันมาฆบูชา ก็ไปร่วมงานกับชาวบ้านที่เรือนกระจก ขอบอกว่า ชาวบ้านที่นี่มีศรัทธาและมีสมาธิดีมาก สวดมนต์กันคล่อง เสียงดังฟังชัดมาก และรับฟังธรรมเทศนาครั้งแรกจากหลวงพ่อ ท่านเทศน์เกี่ยวกับการปฏิบัติตัว

อยากเป็นมนุษย์รักษาศีล 5 ของตนให้ดีๆ
เราอยากเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายที่เราวางไว้ เราอยากเกิดเป็นมนุษย์ เราก็ต้องรักษาศีล 5 ให้ได้ ศีล 5 คือความปกติของความเป็นมนุษย์ ถ้าต่างคนต่างรักษาได้ ปัญหาวุ่นวายต่างๆ ก็ไม่เกิดขึ้น สังเกตได้จากข่าวสารที่เรารับรู้ก็ได้ต่างเป็นเพราะเกิดจากการล่วงละเมิดศีล ทั้งการฆ่ากันตาย เพราะความหึงหวง ชู้สาว การลักขโมย การพูดจาไม่ถูกหู ดังนั้นให้เราระวังรักษาศีล 5 ของตนให้ดีๆ

หรือถ้าเราอยากเกิดสูงกว่านั้นไปเป็นเทวดาเลย ก็รักษาศีลไว้ บวกกับสร้างโบสถ์ สร้างศาลา มีหิริ โอตัปปะ ก็จะส่งผลให้เราไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว หรือ ถ้าเราอยากไปเกิดเป็นพรหมเลย อธิบายเกี่ยวกับพรหมก่อน พรหมนี้ที่เราได้ยินคือ ผู้สร้างโลกใช่ไหม ก็สร้างจากที่มันพังแล้ว ซึ่งในศาสนาพุทธ เราก็เป็นพรหมได้ทุกคนก็ทำทุกอย่างให้มันดีกว่าเดิม กลับมาเรื่องการเป็นพรหมหรือพระพรหม อันนี้รักษาศีล ให้ทาน แค่นี้ไปไม่ถึงนะ ต้องมีการปฏิบัติแล้ว ต้องได้ระดับฌาน แต่ก็มีเสื่อมได้

หรือเดินตามเป้าหมายศาสนาพุทธเลย คือ พระนิพพาน ไม่มาเกิดอีกแล้ว หยุดจากการเวียนว่ายต่ยเกิดกันสักที อันนี้ต้องปฏิบัติให้ได้ระดับวิปัสสนากันนะ

บ่อแร่
หลังจากฟังธรรมเสร็จก็ปฏิบัติกันต่อจนช่วงเย็นก็ได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์เป็นครั้งที่ 2 ที่บ่อแร่ ที่นี่พอไปก็มืดแล้ว มองหน้ากันยังไม่ชัดเลย ใช้วิธีจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่าง และจุดธูปไล่ยุง ที่นี่มีพระปรางค์นาคปรกเป็นพระประธาน ไม่รู้ว่า ยังไง ใจมันแว่บๆ ว่าเกี่ยวกับพญานาค แต่ช่างมันเถอะ ก็รู้สึกเหมือนมีคนแว่บๆ แถวหลังองค์พระ แต่มองตรงๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรเลย พอหลวงพ่อมา ก็เทศน์ว่าเป็นวันดี โอกาสดี เจ้าของเค้าอนุญาตให้ใช้บ่อได้ วันนี้ก็มีทั้งกายหยาบ กายละเอียดมาฟัง วันนี้คงเทศน์เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมได้ เราเป็นพวกปฏิบัติธรรม เราคาดหวังอะไรจากการปฏิบัติหล่ะ นั่งสมาธิจะอยากเห็นอะไร อยากได้อะไร เรารู้อยู่แล้วเป้าหมายของเรา คืออะไร ดังนั้นเราอย่าปฏิบัติด้วยความโลภ อยากได้นั้นนี่ ให้หันกลบมาพิจารณาเฉพาะเบื้องหน้า เฉพาะเบื้องหน้า อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรให้มากมาย ตั้งหน้าเดินไปเดี๋ยวมันพร้อม เมื่อสมบูรณ์ก็จะถึงเป้าหมายเอง คำสั่งสอนอย่างนี้ต้องเรียกว่าโดนซะ


กิจกรรมแสงเทียน
กลับจากบ่อแร่ เราเดินกลับมาทำกิจกรรมที่ศาลาสารธัมโม ทำกิจกรรมแสงเทียนกัน ก็สรุปกิจกรรมไปเลยแล้วกันว่า เหล่ากล้าธรรม รับปากอาจารย์ด้วยควากล้าและห้าวหาญในการสืบต่อสายทางต่อแสงเทียนของพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไปเหมือนที่พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเดินทางตามรอยพระพุทธเจ้ามากว่า 2500 ปี ทิ้งรอยให้เราได้เดินตาม และก็เป็นหน้าที่ของเราในการเดินต่อให้เหลือรอยให้รุ่นหลังเดินตาม

วันที่ 3 น้อมสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 3 ทำพิธีถวายราชสักการะแต่เช้า และวันนี้ให้ตั้งใจกันเต็มที่เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศล และตักบาตรพระอาจารย์และเดินไปปฏิบัติธรรมที่โบสถ์ โดยแยกย้ายกันรอบโบสถ์ หลังอาจารย์ปิยนาถนำอธิษฐานจิตและปฏิบัติธรรมกัน ที่นี่สู้กันสนุกมาก แพ้บ้างชนะบ้าง นั่งไม่เปลี่ยนเท้าเลย พอค่ำก็ฟังพระธรรมเทศนาจากหลวงพ่ออีกครั้ง วันนี้ท่านเทศน์เรื่องกิเลส กิเลสมีหลายระดับ กิเลสเบื้องต้นกำจัดได้ด้วยศีล เราอย่าละเลย อยู่ในหน้าที่ใดสถานะใดเราก็รักษาศีลของเราในได้ ตอนนี้ถือโบสถศีล ก็ถือศีล 8 ไป เดี๋ยวออกจากศีลก็กลับไปถือศีล 5 ตามปกติ ส่วนพระก็ต้องศีล 227 ข้อ ความระวัดรักษาศีล แม้พระภิกษุสงฆ์ก่อนเริ่มพิธีในโบสถ์ (จำไม่ได้ว่าวันไหน) ยังต้องปราวนาว่า ศีลตนเองบริสุทธิ์เลย ดังนั้นเราก็ให้ฟังรักษาศีลกันให้ดี

กิเลสเบื้องกลาง ระงับได้จากการปฏิบัติสมถกรรมฐานเพื่อให้สามารถสงบ ระงับให้ได้ ส่วนกิเลสระดับสูง คือ กิเลสละเอียด ที่อยู่ในอนุสัย นองเนืองอยู่ในสันดาน เรามาอยู่อย่างนี้ไม่มีอะไรกวนใจก็สงบระงับได้ แต่ออกไปข้างนอก ใครมาด่าพ่อล้อแม่ ก็แทบจะทำร้ายเค้า มันก็ยังมีเดือดขึ้นมา ซึ่งกิเลสอย่างนี้เราต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้หลุดพ้น กำจัดอนุสัยกิเลส อันนี้เวลาปฏิบัติเราต้องมีความละเอียดในการสังเกต ไม่งั้นกิเลสเข้ามาตอนไหนเราก็ไม่รู้ และเราปฏิบัติธรรมเราต้องรู้จักสำรวม อย่าพูดกันให้มาก มันจะฟุ้ง

วันที่ 4 ได้กลับบ้านแล้ว...
วันที่ 4 ใกล้ได้กลับบ้านแล้ว ไปรอบนี้เฉยๆ นะ ช่วงเช้าไม่ได้รู้สึกยินดีที่จะกลับบ้านเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่กลับรู้สึกว่า เราจะสามารถมีระเบียบวินัยในการปฏิบัติเหมือนอยู่ที่นี้หรือไม่ เดี๋ยวก็ลองดูกัน สวดมนต์ปฏิบัติรอบแรก อาจารย์ปิยะนาถ เป็นผู้นำไปฏิบัติ โดยลองให้การกำหนดจิตที่ฐานและเจริญสติโดยการเดินและขยับตัว และให้เจริญกายานุปัสสนา โดยยึดผิวหนังเป็นที่สุดรอบและลองให้สังเกตความแตกต่าง

เวลากำหนดสติไว้ที่ฐานและบริกรรมลงไป จิตไม่ลงไปแนบกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จะรู้สึกหนักๆ หน่วงๆ บริเวณฐานที่ตั้งจิต แต่ถ้าหนักเกินไปแสดงว่ากดไว้ ข่มไว้ ต้องปล่อยๆ

เวลาเจริญสติโดยวิธีกำหนดสติไว้รอบกาย ยึดผิวหนังเป็นที่สุดรอบ อันนี้จะเห็นร่างๆ แท่นๆ เป็นก้อนๆ เป็นมวลสาร จะไม่เห็นแล้วว่าเราเคลื่อนไหว จะรับรู้เพียงอาการเคลื่อนไหว อาคารคู้ อาการเหยียด

หลังจากออกจากสมาธิ อาจารย์ให้เรามั่นสร้างเมตตาตัวจริงที่มีลักษณะนุ่มๆ อยู่ในใจ แล้วก็แผ่เมตตาไป นอกจากนี้อาจารย์เน้นว่า ควรแผ่เมตตารวมไม่เฉพาะเจาะจงเพราะดีกว่า อย่างเมื่อวานที่บ่อแร่ ถ้าเราสื่อได้ เราจะเห็นว่า กายละเอียดเค้าดีใจออกมาฟังธรรมด้วย นั่งข้างๆ พวกเราอยากได้ผลบุญบ้างเพราะเค้าเดือดร้อน ทุกข์ร้อนอยู่ พวกเราไม่เห็นก็เหมือนคนใจดำ เค้าเดือดร้อนอยู่เราก็ไม่แผ่เมตตา ส่งกระแสเย็นๆ ไปให้บ้าง เราเผยให้พ่อแม่ ครูอาจารย์ แต่ไม่สนใจเค้าเลย เรามองไม่เห็นก็ไม่ใช่ว่าเค้าไม่มีอยู่ อยากให้คิดว่ามีอยู่ และเราก็แผ่ให้เค้าบ้าง เค้าจะได้รับความสุขบ้าง

หลังจากนั้น ทอดผ้าป่า และไวยยาวัจจกรวัด อาจารย์พะเยา (ว์?) พาเดินชมและอธิบายเกี่ยวกับวัดสระกะเทียม หลังจากนั้นก็กราบพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ที่กุฏิพระอาจรย์ กลับมาทานอาหาร และฟังธรรมบรรยายช่วงสุดท้าย โดยอาจาย์วิชชา และอาจารย์ปิยะนาถ เรื่อง คุณสมบัติของผู้มุ่งสู่สันตบท โดยถอดความจากบทเมตตันตกรณียสูตร (ไม่รู้เขียนถูกหรือป่าว เขียนจากความจำยังไม่เช็คชื่อที่ถูกต้อง) โดยสรุปก็คือ เราต้องดำเนินหลักธรรมเหล่านั้น อาทิ การถือสันโดษ การไม่เย่อหยิ่ง การสำรวมกาย การสงบใจ เป็นต้น (ปล อันนี้จำไม่ค่อยได้)

ผลสรุปสำหรับส่วนตัวครั้งนี้ได้อะไรจากการปฏิบัติธรรมครั้งนี้
o   ความสงบ ผลจากการปฏิบัติ
o   พลังใจและความมั่งคงของจิต รักษาวิธีการไว้
o   หลักเมตตาที่ต้องพยายามดำเนินต่อ
 


ธรรมะจากท่าน ว.

ไม่แน่
ไม่ได้ดั่งใจ
ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ

ธรรมะผุด

อย่าไปเพ่งโทษผู้อื่น รู้อยู่กับตัวดีที่สุด

ธรรมะผุด

อย่าไปเพ่งโทษผู้อื่น รู้อยู่กับตัวดีที่สุด

ธรรมะที่ได้รับจากการปฏิบัติธรรม คอร์สหลวงพ่อมานพ

ก่อนไปเข้าร่วมอบรมมีความรู้สึกทุกข์ใจ พยายามมองใจตัวเรา มองความรู้สึกมันก็บอกไม่ได้ ไม่ชัดเจนว่าคืออะไร บอกได้แค่ว่าทุกข์ๆ เศร้าๆ อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงง่ายตามโลกบาลธรรมที่มากระทบ พอรู้ตัวว่าจะได้ไปปฏิบัติ ก็พยายามคิดและคอยบอกตัวเอง ต้องทำตัวเป็นแก้วน้ำที่ไม่เต็ม แล้วไปรอบนี้จะได้อะไรกลับมา ก็พยายามปฏิบัติอย่างเอาใจใส่ตลอดช่วงเวลา 4 วันที่ได้ปฏิบัติ ออกก่อนจบคอร์ส 1 วัน เพราะหมอดันนัดตรวจฮอร์โมน ไม่ไปก็ไม่ได้งั้นต้องรอไปอีกเดือน ก็ตั้งใจปฏิบัติเรื่อยๆ นะ ประมาณวันที่ 3 หลวงพ่อมานพท่านเทศน์เรื่องนี้ที่อยู่ตรงใจพอดีว่า รู้ไหมว่าดวงจิตเศร้าหมอง และเราเงยหน้าขึ้นมองท่าน มีความรู้สึกเหมือนท่านมองเรา เหมือนพูดให้เราอย่างงั้นหล่ะ ซึ่งที่ท่านเทศน์ก็ตอบโจทย์ในใจของเราได้

ท่านเทศน์ว่า คนเราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่ามีจิตเศร้าหมอง ทั้งนี้เพราะเราไปยึดกับตัวบุคคล ตัวเรา ตัวเขามากเกินไป ยิ่งคน / บุคคลใดที่เราใส่ใจ เราให้ความสำคัญ เรามีความรู้สึกดีด้วย เรายิ่งมีความผูกพัน พอคิดว่าจะมีอะไรมากระทบบุคคลอันเป็นที่รัก และเราไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริง เราก็เศร้า ไม่สบายตัว หากไม่มีสติ แล้วรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นในดวงใจเราบ่อยๆ จิตของเราก็เศร้าหมอง แหมท่านเทศน์โดยใจจริงๆ น้ำตาซึมไปเลย เลยเปลี่ยนท่าทางจากมองหน้าท่าน เป็นก้มหน้าลงไปเลย  และท่านปล่อยหมัดเลย ยกตัวอย่าง เช่น พ่อแม่ของเรา ตอนนี้เริ่มจะฮือ ฮือ แล้ว เราก็รู้ว่า ความตาย ความเจ็บป่วยไม่สบายเป็นเรื่องธรรมดา แต่เรารักมาก ผูกพันมาก พอคิดว่าเรื่องอย่างนี้ใกล้ตัวก็รับไม่ได้ เพราะยึดไว้ ติดไว้ และไม่ยอมรับความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นนะเหรอก็ทุกข์ใจ เศร้าใจ คิดบ่อยๆ ก็ทำให้ใจเศร้าหมอง เฮ้อ ตรงใจจริงๆ เงยหน้าขึ้นทีไร เหมือนท่านหันมามองและเหมือนเทศน์ให้เราจริงๆ พอฟังเสร็จ ก็ตอบโจทย์เรียบร้อยแล้วว่า จิตเราลงไปถึงระดับความเศร้าหมองจริงๆ เรายึดหน่วงไว้จริงๆ และสาเหตุก็เป็นไปตามที่เทศน์จริงๆ ดีใจมานิดนึง ได้แต่คิดในใจว่า แล้วจะแก้อย่างไรดี เพราะเรารู้แน่ๆ ว่าเป็นประเด็นที่เรารู้และเราไม่ยอมวางแน่ๆ ท่านก็เหมือนรู้ใจ ท่านเทศน์ต่อไปว่า แนวทางที่จะไม่ให้จิตเศร้าหมองมันก็ไม่ยากหรอก ฝึกสติของเราให้แข็งแรง ตามดูตามรู้ด้วยความรวดเร็ว จิตเราไม่ได้อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน เพียงแค่สิ่งที่เราใส่ใจมันเป็นเหมือน Key message ขณะที่เรื่องอื่นๆ นะเป็นประโยครอง เราให้ความสนใจแต่ Key Message ไม่สนใจประโยครอง อารมณ์มันก็จม ดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้ประโยครองอื่นๆ ที่เรารับรู้มีความสำคัญขึ้นมาและทำให้มีความสำคัญมากกว่า Key message ได้แล้ว เราก็จะเลิกจมกับความรู้สึกตาม Key message นั้น เท่านั้นหล่ะ Get idea แล้ว ถ้าเราสติเร็วตามดูและรู้อารมณ์ทันแล้ว เราจะไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องราว หรือพัฒนาความคิดให้เราเกิดความทุกข์และเศร้าหมอง ซึ่งการไปปฏิบัติครั้งนี้ถือว่า โอเค ขอบอกว่า เปรียบเสมือนฟื้นคืนสติขึ่นมาอีกครั้ง สาธุ

ดำริให้ถูก

ไปอบรมวิปัสสนากับหลวงพ่อมานพ อุปสโม มา ท่านเทศน์น่าสนใจ สรุปประมาณว่า ที่เราทุกข์ใจเพราะเราดำริผิด ดำริผิดคืออะไร ก็คือการมองมุมที่ผิดไป เช่น เวลาคนเค้ามาด่าเรา เราโมโห แต่เราไม่ได้ดูที่ตัวเราว่าเราโมโห แต่เราไปใส่ใจคนที่ทำให้เราโมโห เวลาเจอหน้าทีไร ของก็ขึ้นอีก อันนี้เป็นการดำริผิด ถ้าดำริให้ถูก เราต้องดูว่า เราโมโห เรากำลังโมโห เดี๋ยวสภาพจิตของเราที่ไม่อยู่นิ่ง เราก็จะไปให้ความสนใจอย่างอื่น และอาการโมโหก็ลดลงและหายไปในที่สุด แต่ที่เรายังไม่หายโมโห เพราะเราดันไปยึดที่ตัวบุคคล คือคนที่ทำให้เราโมโห ยิ่งทำให้เราไม่หายโมโหสักที ดังนั้นหากเรามีสติมากๆ ตามรู้เนื้อรู้ตัวตลอดเวลา สติของเราจะเร็ว และถ้าเราดำริถูก อยู่ที่เรา อารมณ์ของเรา เดี๋ยวความทุกข์ ของเราก็หายไปเอง

บทกลอนผุดขึ้นในใจ

โลกนี้ ล้วนแต่มีทุกข์
แต่ก็สุดที่ใครจะยึดถือ
ถือมาก ทุกข์มาก กล่าวไว้คือ
ถ้าคลายถือ สุขเข้า ทุกข์จางไป

ธรรมะเป็นคู่ๆ

วันนี้ป่วยอยู่บ้าน แล้วถือว่าโอกาสนอน นอน นอน เป็นบังอร เอาแต่นอน นึกได้ว่าอย่าขี้เกียจก็ดูจิตบ้าง ดูกายบ้าง ถ้าขยับมาห้องน้ำก็ดูกายเคลื่อนไหวไป เอาหนังสือสุตตันตรปิฏก อุตตรนิกายมานั่งอ่าน นอนอ่าน เจอหัวข้อ ปมาทะ อัปปมาทะ แปลว่า ความประมาทและความไม่ประมาท แล้วจิตหนึ่งก็แวบมา ธรรมะเท่ากับธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทั้งด้านดีและด้านไม่ดี ดังนั้น ธรรมะมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี พอคิดได้แค่นี่ก็แวบถึงบทสวดมนต์ทำวัตรที่ตอนสงกรานต์ไปปฏิบัติธรรมที่วัดดุสิดารามมา มีบทหนึ่งกล่าวว่า พึงละการกระทำธรรมดำเสีย พึงกระทำแต่กรรมขาว ก็เลยรู้แน่ว่า ที่ปฏิบัติมาคงจะไม่ตรงเสียแล้ว เราพิจารณาเฉพาะธรรมดี พยายามทำดี มันเลยยังไม่ไปไหน ธรรมมะมี 2 ด้าน หรือถ้าพิจารณาเปรียบเทียบตามความสอนของหลวงพ่อปราโมช ปราโมชโช ที่ท่านกล่าวว่า ธรรมคู่ ก็เพิ่งเข้าใจ ชัดเจนแจ่มแจ้งก็ตอนนี้ พึงเจริญพึงพิจารณาธรรมคู่ให้กระจ่าง สรุปเรื่องนี้ก็ได้ข้อมูลจากการประมาท และการไม่ประมาทแท้เชียว

ช่วงเย็นไม่ได้ปฏิบัติ แต่มีโทรศัพท์มาสอบถามปัญหาและเสวนาธรรมกันเล็กน้อย ระหว่างสนทนาก็พบว่า ตาจับการเคลื่อนไหวของกระแสไปในหลอดไฟได้อีกแล้ว งงนิดหน่อยเพราะปกติถ้าจิตละเอียดขนาดเห็นการเคลื่อนไหวนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นหลังนั่งสมาธิหรือออกจากสมาธิใหม่ๆ แต่ก็สังเกตไปเรื่อยๆ แล้วนั่งสมาธิอีกรอบ รอบนี้ไม่มีอะไรทิ้งไว้ให้คิด

ธรรมะดอกเห็ด

วันนี้ป่วยลางานอยู่กับบ้าน เลยทำอะไรอืดอาดชักช้า แต่เมื่อคืนก็กำหนดสติตลอดนะ แต่เวลาส่งออกนอกก็รู้ว่าออกแต่จับไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ก็เลยลุกขึ้นมาล้างหน้าแล้วนั่งสมาธิ อธิษฐานจิตเสร็จก็นั่งพิจารณาลมไปเรื่อยๆ วันนี้ไม่มีอะไร เห็นแต่ดอกเห็ด คล้ายๆ เห็ดโคลน แต่ก็พิจารณาว่าเห็นแล้ว แต่ก็ไม่เกิดปริศธรรม เหมือนเมื่อวาน พอออกจากสมาธิ อารมณ์ยังทรงอยู่ มาพิจารณาใหม่ว่าต้องการสอนอะไร อันนี้ก็แยกไม่ได้ว่าปัญญาทางโลกหรือปัญญาทางธรรมสอน ได้ข้อคิดว่า ตัวเชื้อเห็ดเชื้อรามองที่พื้นมันก็เหมือนมันตายแล้ว แพร่พันธ์ไม่ได้แล้ว แต่พอมีเหตุมีปัจจัยที่เหมาะสม เชื่อเห็ดก็เติบโตเป็นดอกเห็ด บานดอกเบ้อเริ่ม มันก็เหมือนกิเลส ในระดับปกติ เราพิจารณาแล้วเหมือนมันไม่มีมันหายไป แต่พอมีเหตุมีปัจจัยขึ้นมา กิเลสตัวนั้น มันก็แสดงตัวตนออกมาอย่างชัดเจน กิเลส หรืออนุสัยกิเลสก็คงเหมือนเชื้อเห็ดเชื้อรา มีเหตุมีปัจจัย คือ ความชื้น สิ่งที่มากระทบในระดับเหมาะสม กิเลสมันก็เติบโตงอกงามเป็นดอกเห็ดนั่นไง และเราจะทำอย่างไรให้เชื้อเห็ดมันตายไปจริงๆ คิดเล่นๆ อีกนิด แล้วสปอร์ของเห็ดของราอีก ทำอย่างไรจะหมดไป

ปรุงแต่งผิดธรรมชาติ

หลังจากนอนสมาธิแล้วชักเริ่มฟุ้งก็ดำเนินการเหมือนทุกวันนั่นแหละ ก็ลุกขึ้นมาทำธุระส่วนตัว  ดูนาฬิกาก็อีก 15 นาทีก็จะตี 3 เลยคิดว่า วันนี้นั่งสมาธิได้ 15 นาทีก็เก่งแล้ว แล้วก็อธิษฐานจิต ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึงที่ระลึก และลงมือปฏิบัติ พอเริ่มนั่งไม่นาน ก็ใช้ความรู้ที่ได้รับเมื่อวานมาใช้ นั้นคือการน้อมจิต ต้องบอกว่าหลังจากเจอเมื่อวาน ได้เล่าให้รุ่นพี่นักปฏิบัติฟังก็เลยเหมือนเขียน Flow ละเอียดสำหรับการปฏิบัติของตนเอง และเมื่อเริ่มเห็นว่ามีอาการสงบสุขเกิดขึ้นก็น้อมจิตไปยังจุดนั้น แต่ก็มีสติตามไม่ติดสุข ก็รู้สึกว่าระดับของความสงบสุขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็น้อมจิตต่อไป จนรูสึกเข้าไปสัก 4 ระดับ แต่ระดับที่ 4 ก็เหมือนเมื่อวาน ประคองจิตให้อยู่ในระดับนั้นค่อนข้างยาก ทั้งจิตและกายทรมาน เริ่มหายใจลำบาก ก็เลยถอยมาอยู่แถวๆ ระดับ 3 ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คืออะไร เอาว่าตอนนี้เค้าสอนตั้งแต่นอนสมาธิแล้วนี่ว่าอย่าสงสัย ก็เร่งปฏิบัติต่อไป หลังจากสงบและแช่อยู่ในระดับ 3 พอสมควร ก็ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายแนะนำ โดยเฉพาะเมื่อวานเช้า ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อโต๊ะ พระสหายของหลวงตามหาบัว เป็นคนเทศน์เรื่องธรรมปฏิบัติว่าหลังจากสงบก็พิจารณาสังขาร ไล่ผม ขน หนัง ฟัน เล็บ ให้เห็นอนิจจัง อนัตตา แล้วก็ไล่อนุโลม ปฏิโลม เข้าใจว่าไล่กลับย้อนไปมา ดังนั้นหลังจากจิตสงบก็เลยเริ่มไล่

ผม ก็ดำๆ ตรงๆ ก็แตกต่างตามสัญชาติ พอแก่หน่อยก็ขาวทั้งหัว แต่หลุดร่วงไปตั้งแต่ดำก็มี ถ้าเส้นผมอยู่เพียงเส้นเดียวเราทำอะไรเส้นผมเราก็ไม่ได้เจ็บไม่ได้มีความรู้สึกอะไร พอผมมาเสียบอยู่กับหัวเท่าไหร่หากทำอะไรก็ร้องเจ็บซะ สิ่งเหล่านี้สิธรรมชาติ ผมเปลี่ยนสี ผมหลุดร่วงตามเหตุตามอาการของมันเราไปบังคับมันไม่ได้ อย่างนี้ก็คือ อนิจจังละมัง แล้วจิตยังซุกซนช่วยปรุงต่อ อ้าวแล้วกรณีย้อมสีผมหล่ะ เดี๋ยวนี้ก็ทำกันเยอะแยะ จิตที่เห็นธรรมชาติมันมีเป๋ไปเหมือนกัน แต่อีกจิตก็อธิบายว่า แล้วที่ย้อมมันอยู่อย่างงั้นของมันตลอดหรือ คงทุนหรือ แน่ใจนะว่าข้างในจะไม่เหมือนเดิม งานนี้เลยจำนนด้วยเหตุและผลว่า มันไม่เที่ยงของมันจริงๆ แต่ก็ยังอุตสาห์แว่บอีกแน่ะว่า เออหนอ รุ่นปัจจุบันนี้ปฏิบัติธรรมให้รู้ธรรมนั่นยากเสียจริง  ความรู้ทางโลกปรุงแต่งกิเลส จนการมองเห็นความจริงตามธรรมชาติตามธรรมดาผิดเพี้ยนไป ก็ต้องกำหนดใจตัวเองพิจารณาให้เที่ยงแท้ ให้เห็นลึกซึ้งต่อไป

อีกความคิดหนึ่ง แวบมาไม่รู้ด้วยความฟุ้งซ่านหรือป่าว ดันความเปรียบเทียบผมกับคนไปได้ คิดว่าผมสีดำที่มีอันหลุดล่วงก่อนวัยก็เปรียบเหมือนคนที่มีเหตุให้ตายก่อนวัยอันควร ส่วนผมที่หลุดล่วงตามวัยก็เหมือนคนที่ตายเมื่อเวลาอันควร ก็แก่ตายนั้นแหละ แล้วอีกจิตหนึ่งก็ถามว่า แล้วไอ้ผมที่ขาวเต็มหัวเป็นอะไร ก็บรรดาคนแก่ที่ยังมีชีวีตอยู่ไว ส่วนไอ้ผมดำ ก็พวกเราๆ นี่แหละ แต่ยังมีคำถามอีกว่า แล้วไอ้ผมย้อมสีผมหล่ะพวกไหน ตอนนั่งการคิดไม่ออก จิตมันไม่มีตัวตอบ สงสัยนิสัยสันดานเดิมจะเกิดในยุคไม่มีการย้อมผม มันก็เลยยังไม่เคยรับรู้มันก็เลยบอกไม่ได้ แต่ตอนนั่งเขียนนี้ก็แวบขึ้นมาแล้ว ก็เป็นพวกพยายามใช้วิทยาการต่างๆ กระชากวัยให้คงหนุ่งสาว กระชากอายุ ธาตุขันธ์ให้ดำรงอยู่ต่อไง นึกแวบไปถึงแถวๆ ICU โน่น

หลังได้ข้อมูลเรื่องผมก็เลยพิจารณาตัวต่อไป

ขน เออขนมันก็มีหลากหลายหนอ จะพิจารณาตัวไหนดี แต่พระท่านก็ให้พิจารณาทีละเส้นก่อน ก็เลยหยิบมาที่ละเส้น ตั้งแต่ ขนคิ้ว ขนตามตัว ขนตามแขนขน แต่ละประเภทขนมันก็เหมือนๆ กัน มันก็เป็นเส้น แต่อารมณ์เดี๋ยวกลับผมนั่นหล่ะ ถ้ามันอยู่ของมัน มันก็ไม่เจ็บปวดอะไร พอมาเสียบกับหนังเท่านั้นเป็นเรื่อง แต่อนิจจังนี่ทีแรกมองไม่เห็น นึกได้ถึงขนตาที่มันร่วงก็เลย รับรู้ว่ามันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน และมันจะหลุดจะร่วงก็ควบคุมมันไม่ได้ นี่ก็คงเป็นอนัตตา และเราก็เสกให้มันยาวสั้นตามใจชอบก้ไม่ได้เหมือนกัน แต่เอาอีกแล้วอีกตัวเถียงมาเลย แล้วพสกจะตัดต่อขนตาหล่ะ คำตอบมาก็กรณีเดี๋ยวกลับผม ในที่สุดก็เป็นเช่นนั้นเอง (ชอบคำนี้จัง) และสรุปว่า เอาอีกแล้ว ทางโลกปรุงแต่งผิดธรรมชาติอีกแล้ว ชักเริ่มแวบ ยังงี้สิ ปฏิบัติธรรมยุคปัจจุบันเห็นธรรมยาก โดนปรุงแต่งจนผิดธรรมชาติหมดแล้ว นั่งพิมพ์อยู่ก็คิดขึ้นมาอีก สมัยก่อนไปตรงๆ ตรงๆ ไหนเห็นคนผมขาว สีผมค่อยๆ เปลี่ยน อารมณ์การปฏิบัตน่าจะดี ดูมันแวบสิ

หนัง อันนี้ตั้งต้นด้วยความงง หนังแยกยังไง ลักษณะสามัญเป็นอย่างไร  คิดเท่านี้ความคิดแยกแวบขึ้นมาให้พิจารณาเหมือนถลกหนังไง จับตับผ่ากลางออกเป็นแผ่น มันก็เหมือนกับหนังสัตว์นะ แต่มันใสกว่า เมื่อหนังไม่อยู่ที่กาย ทำอะไรมันก็ไม่เจ็บ แล้วทำไมเวลาอยู่กับกายแล้วเจ็บน่ะ คำตอบมีแต่ไม่กล้าตอบ ตัวตนไง รับได้เปล่า หนังตั้งแต่เด็กเต่งตึง ขาว มีกลิ่นหอมน้ำนม โตมาหยาบกระด้าง หมองคล้ำ แก่ตัวเหี่ยว หย่อนยาน บังคับไม่ให้เหี่ยวก็ไม่ได้ แต่อนัตตา เปลี่ยนแปลงไปมาก็อนิจจัง ก็เหมือนเดิม ทางโลกปรุงแต่ง (แวบมาตอนเขียน ทั้งครีมบำรุง ทั้งศัลยกรรม) ก็ผิดเพี้ยนจากธรรมชาติอีกเช่นเคย

ฟัน อันนี้เห็นชัดหน่อยเด็ก ๆ ฟันน้ำนมสวยน่ารักเป็นเม็ดข้าวโพด โตมาเป็นฟันแท้แปลงสภาพกลายเป็นฟันจอบ ดูแลไม่ดี ก็มีเหตุอันควรให้ลาจากเหงือกไป หรือคนแก่หลุดร่วงตามวัย เพิ่งสังเกตจากตอนมานั่งพิมพ์นี่หล่ะว่า อาการหลุดร่วงใช้กับหลายส่วนของร่างกาย นึกย้อนถึงแม่ที่ฟันหลุดร่วงตามวัย นั่นไงความไม่เที่ยง  แถมฟันยังมีการตายก่อนวัยด้วยหากเจออุบัติเหตุ เราจะบังคับให้มันอยู่มันก็ไม่อยู่ติกกับเหงือกให้ มันก็เป็นอนัตตา ยอมรับหรือป่าว มันก็เถียงเรื่องฟันปลอม คำตอบย้อนมาก็ถอดฟันปลอมแล้วเป็นไง โอเคงั้นยอมรับก็ได้

นึกย้อนถึงไอ้ฟันครุฑที่เก็บไว้อยู่ในกล่อง อ้อไอ้ฟันเดียวๆ ที่ให้พิจารณามันก็ชัดเจนขึ้นมา ถ้าฟันมันไม่เสียบในเหงือก มันอยู่เดียวๆ ของมัน ถ้าเราทุบมันก็คงไม่เจ็บเนอะ

เล็บ ยาวเร็วยาวช้าแตกต่างกัน สัญฐานต่างๆ หนาบางต่างกรรมต่างวาระ เพิ่งอาบน้ำเล็บเหมือนบางๆ ตัดง่าย ถ้าตัดเลยเหมือนมันตัดยาก ก็แสดงว่ามันก็มีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาตามเหตุปัจจัย (ไม่ต้องแสวงหาเหตุผล) ก็แสดงว่า มันไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น บังคับควบคุมไม่ได้ นั้นหล่ะอนัจจัง อนัตตา แต่คำถามเถียงขึ้นมาว่า แล้วต่อเล็บหล่ะ อยากให้เล็บยาวก็ทำได้ทันใจ คำตอบก็เหมือนเดิม แล้วถอดเล็บปลอมแล้วเป็นไง ยอมรับก็ได้ แต่ยังไม่เต็มที่

ก็พิจารณาไปกลับ เล็บ ฟัน หนัง ขน ผม ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กลับไปมา 4 5 รอบก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ก็แผ่เมตตาบทรวม แผ่เมตตาเฉพาะเจาะจง คลายสมาธิ ค่อยๆ ถอยจากระดับ 3 2 1 แต่ถอยลำบากเหมือนกัน กลับไปมาอยู่บางช่วง คลายสมาธิแล้วยังค้างอยู่นอกหน่อยคาดว่าแถวๆ 1

วันนี้ เห็นการปรุงแต่งทางโลก ช่วยผิดเพี้ยนจากธรรมชาติ พิจารณายาก ต้องพิจารณาโดยแยบคาย และความสงบสุขเป็นสุขอย่างยิ่ง

อุบายแห่งความสำเร็จกับการแสวงหาเหตุและผล

วันนี้ก่อนตื่นขึ้นมา กำหนดนอนสมาธิ มีเรื่องแปลกๆ แวบขึ้นมา ก็ลองตามดู เรื่องมาอยู่ว่า ความรู้สึกเหมือนอยู่ในที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งเหมือนวัดป่าทะเมนชัยแต่ก็ไม่ใช่ มีตุงคล้ายทางภาคเหนือแขวนอยู่ และมีการปฏิบัติธรรมในลักษณะที่ต่างคนต่างปฏิบัติ แต่คนที่ร่วมปฏิบัติงานนี้ค่อนข้างแปลก กลับเป็นพี่สาวคนที่ 2 ที่ยังไม่เคยปฏิบัติธรรมเลย เราก็เห็นว่า เค้าเกาะกางเกงแน่นเลย ไม่เหมือนวางมือเดินจงกรม แต่ลักษณะการเกาะเหมือนกางเกงหลุด เราก็เข้าไปสอบถามว่าทำไมถึงกดซะแน่นเชียว และเพื่อนนักปฏิบัติอีก 4 5 คน มีทั้งคุ้นและไม่คุ้นหน้าก็มาช่วยกันแก้ไขและหาสาเหตุกันใหญ่เลย ปรากฏว่าเลยไม่ได้ปฏิบัติกัน แต่ก็สมมติกันไปต่างๆ นาๆ แต่ก็ชักจูงให้พี่สาวเกิดความผ่อนคลายไม่ได้ ซึ่งหลวงพ่อคล้ายเจ้าอาวาสวัดป่าทะเมนชัย ท่านเดิมยิ้มออกมา และสอบถามสาเหตุการประชุมกันนั้น พวกเราก็ชี้แจงสถานการณ์และสมมติฐานต่างๆ ที่เราค้นหาสาเหตุกัน สิ่งที่ปรากฏตามมาคือ รู้สึกเหมือนท่านไม่สนใจเท่าไหร่ในส่งที่พวกเราพูดแต่รับรู้ได้ว่า ท่านสนใจในการแก้ปัญหา และท่านได้แนะนำพี่สาวด้วยประโยค สองประโยค พี่สาวกลับมาปฏิบัติได้ พวกเราก็งงหันไปดูด้วยความสนใจ ท่านก็ยิ้มให้ไม่พูดอะไร แต่ความรู้สึกรับรู้ว่า อะไรบางอย่างเราไม่จำเป็นต้องมุ่งแสวงหาเหตุและผลหรอก แต่เร่งหาอุบายที่ประหยัดเวลาแต่ทำให้สำเร็จจะดีกว่า และในความรู้สึกนั้น ป้าที่เป็นนักปฏิบัติและเป็นไวยาวัจกรวัดก็พูดกับท่านเจ้าอาวาสว่า เดี๋ยวมีคนศรัทธาเยอะแยะหรอก ท่านก็บอกว่าแค่นี้ก็ได้แยะแล้ว




ข้อสรุปที่ได้มา
ในการปฏิบัติธรรม ไม่จำเป็นต้องมีวิจิกิจฉาเยอะแยะ ไม่ต้องวุ่นวายแสวงหาเหตุและผลทางโลกหรอก แค่เร่งปฏิบัติเร่งความเพียร ผลักดันตัวเองและหาอุบายให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้จะดีกว่า