เราทุกคนอยากมีความสุข ทุกคนก็แสวงหาความสุข ชีวิตครอบครัวก็อยากมีความสุข ทำงานก็อยากมีความสุข อย่างไรก็ตามถ้าเราตั้งใจไว้ว่า งานได้ผล คนมีสุข ก็ย่อมเป็นจริงได้
“เราเป็นเจ้านายของงาน ไม่เป็นทาสของงาน”
เราต้องฝึกหัดว่าเราเป็นผู้ทำงาน ไม่ใช้งานใช้เรา ให้พิจารณาจุดนี้ให้ดี เราทำงานก็อย่าปล่อยให้งานพรากชีวิตเรา ถ้าเราตกเป็นทาสของงาน ก็จะทำให้ชีวิตเป็นทุกข์ แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ทำงาน หรือเป็นนายของงาน
เบื้องต้นในการปฏิบัติของเรา เราต้องเตรียมการทำงาน เริ่มตั้งแต่ก่อนนอน เริ่มวันนี้เลย ให้เราทบทวนดูชีวิตของเราในวันนี้ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเราบ้าง ทบทวนชีวิตตั้งแต่เช้าตื่นนอน ลองทบทวนดู พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเราระลึกถึงการกระทำของตนเองแล้วหากรู้สึกว่าไม่สบายใจ เป็นการกระทำไม่ดี ก็คือ บาป เมื่อเรารู้สึกว่าการคิด การพูด การทำ แล้วไม่สบายใจ การกระทำนั้นไม่ดี เป็นบาป เราก็ต้องตั้งใจว่าเราจะหยุดพฤติกรรมนั้นเสีย เราจะตั้งใจแก้ไขปรับปรุง การคิด การพูด การทำอะไรที่ไม่น่าสบายใจ ให้ตั้งใจว่าจะหยุด
พฤติกรรมใดที่ผ่านเราในวันนี้เมื่อระลึกถึงรู้สึกดี รู้สึกสบายใจ เราสามารถคิดดี พูดดี ทำดี รู้สึกดี รู้สึกภูมิใจ เรียกว่าเป็นบุญ เป็นความดี ถ้าเรารู้สึกได้เช่นนี้แล้ว ก็ให้ตั้งใจว่าถ้าเกิดปัญหาหรือเหตุการณ์เช่นนั้นอีก เราจะตั้งใจทำความดีให้เพิ่มขึ้น
“ทำความรู้สึกว่า เราอยู่คนเดียวในโลก”
พระพุทธเจ้าสอนว่า เราต้องรู้จักมีเมตตา โดยให้รู้จักรักตนเองก่อน คือ ทำตัวเองให้มีความสุขในทุกสถานการณ์ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาเปรียบ หัดเมตตาแก่จิตของตนเอง หมายถึง การทำตัวให้มีความสุขในทุกสถานการณ์ เมื่อมีเหตุการณ์ใดมากระทบแล้วทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี น้อยใจ ไม่สบายใจ เสียใจ ให้รู้จักเมตตาตนเอง หมายถึงรักษาสุขภาพจิตของตนเอง “ความรักเสมอตนไม่มี”
หมายถึงการจิตใจของตนมีความสุขในทุกสถานการณ์ ก่อนนอนเราทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
“ทำความรู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวในโลก อดีตไม่มี อนาคตไม่มี” คือ หยุดคิดเรื่องอดีต ทั้งเรื่องชีวิต การทำงาน ครอบครัว และหยุดวิตกกังวลถึงพรุ่งนี้ หยุดคิดเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หายใจเข้า หายใจออกยาวๆ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ทำใจสบายๆ และตรวจดูจิตว่า จิตมีความเบิกบาน มีความสบายใจไหม ให้เรารู้ว่า จิตของเราปกติ สว่างผ่องใสเป็นธรรมชาติ มนุษย์จำนวนมาก เราสามารถมีความสุขในวันนี้ เพียงหยุดคิดเรื่องอดีต หยุดคิดถึงปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องของคนอื่นและเรื่องของตนเอง ให้รู้จักปล่อยวางเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ หัดปล่อยวางเสียซึ่งความไม่สบายใจ ถ้าจิตสงบ แต่ไม่เบิกบาน ไม่ผ่องใส เราจะทำให้จิตใจผ่องใสโดยเราต้องหาอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไอสไตน์ยังกล่าวว่า Imagination is most important than knowledge แม้กระทั่งไอสไตน์ยังคิดว่า จินตการสำคัญกว่าความรู้ ดังนั้นเราต้องใช้จิตนาการของเราให้เกิดประโยชน์ น้ำแข็งกับน้ำก็ต่างเป็นสิ่งเดียวกัน เราอยากให้น้ำแข็งกลายเป็นน้ำเราจะต้องทำอย่างไร เราต้องหาความร้อนมา น้ำแข็งก็จะละลายกลายเป็นน้ำ หากเปรียบเทียบว่าน้ำแข็งคือความไม่สบายใจ ความทุกข์ใจ น้ำคือความสบายใจ ดังนั้น ความไม่สบายใจกับความสบายใจเป็นสิ่งเดียวกัน ข้อสำคัญว่า ต้องทำใจให้หยุดคิด สิ่งที่สำคัญความไม่สบายใจ ต้องน้อมจิตเข้าไปดูด้วยจิตที่มีสติ เป็นสมาธิ หายใจเข้า หายใจออก ดูจิต จิตไม่สบายใจ โดยทำความรู้สึกว่า ความไม่สบายใจนี้คล้ายน้ำแข็ง ละลายได้ ถ้าพูดเป็นภาษาสูงขึ้นหน่อยก็พูดว่า ความไม่สบายใจเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา อาศัยจินตนาการเรียกสติ สมาธิ อารมณ์วิปัสสนาก็ได้ พร้อมกับลมหายใจเข้าออก
ลองแตะๆ สัมผัสๆ กับจิตที่ไม่สบายใจ โดยให้มีความสุข มีความปิติในขณะที่หายใจเข้าออก จะมีความรู้สึกอบอุ่นเกิดขึ้น เมื่อจิตตั้งมั่นพร้อมให้จินตนาการว่า ความไม่สบายใจนี้ไม่ใช่เรา ความไม่สบายนี้เป็นอนิจจัง เมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตมีความยินดี จิตสะอาด จิตสบายใจทุกครั้งที่หายใจเข้าออก เมื่อทำให้จิตมีความสุข ร่างกายก็จะดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ 1 ใน 3 เกิดจากจิตอุปาทาน จิตไม่สบายใจ จิตเครียด จิตซึมเศร้า เราต้องอาศัยจินตนาการ ทำความรู้สึกว่า หายใจเข้า หายใจออกนี้ ทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงดีขึ้น พร้อมกับการหายใจเข้า หายใจออก ทำให้สุขภาพจิตดี สุขภาพดี โรคร้ายหายไป
ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน มีความสุขก่อนนอน เป็น Key Point หัดนอนให้สบายๆ งานก็จะได้ผล ก่อนนอนสักชั่วโมง เป็นชั่วโมงสำคัญที่สุด เวลาก็สำคัญแต่ต้องหัดปล่อยวาง ทำใจให้มีความสุข นี้เป็นจุดสำคัญ ถ้าเรานอนด้วยความสบายใจมีความสุข ปล่อยวางเรื่องงานได้ก็แสดงว่า เราไม่ใช่ทาสของงาน จิตของเราก็จะเป็นอิสระ ขอให้นอนด้วยความสบายใจ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้นอนให้สบาย
ตื่นเช้าขึ้นมา ให้สังเกตดูจิต หายใจเข้า หายใจออก ดูจิตก่อน เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วดูลมหายใจ ก็ให้สังเกตดูจิต จิตดีไหม จิตเบิกบาน หรือจิตเศร้าๆ สังเกตดูจิต ถ้าจิตไม่สบายใจ ให้พยายามทำจิตให้ดียิ่งๆ ขึ้นป หายใจเข้า หายใจออก ให้จิตใจดีขึ้น พร้อมระลึกถึงความรู้สึกดีๆ สบายใจๆ ทุกครั้งพร้อมลมหายใจเข้า ลมหายใจออก สุขภสพจิตดีๆ สติก็ดีขึ้น มีความรู้สึกปิติสุขเกิดขึ้น เกิดความรู้สึกดีๆ บริเวณหน้าอก เจริญเมตตาภาวนา สติระลึกถึงความรู้สึกดีๆ
ปกติเราชอบคิดแล้วทำให้ไม่สบายใจ จิตของเราละเอียดเป็นไปอัตโนมัติตามที่เราสะสมมา เราก็น้อมเอาสิ่งเหล่านี้ เมื่อเราตั้งใจให้จิตใจมีความสุขแล้ว ตั้งใจระลึกถึงความสุข สิ่งดีๆ นี่คือ การเจริญเมตตาภาวนา เริ่มต้นตอนเข้า ตั้งใจว่าวันนี้น่าจะดี วันนี้ก็เป็นวันดี ทุกเช้าเริ่มด้วยจิตใจดี คิดว่าวันนี้น่าจะดี วันนี้ก็เป็นวันดี
การแผ่เมตตาล่วงหน้า (Future)
เราตื่นกันกี่โมง ตื่น 6 โมงก็สายแล้วนะ แนะว่าให้ดีให้ตื่นตี 5 พอตื่นขึ้นมาก็ให้นึกว่าวันนี้ 6 โมงเราทำอะไร อยู่กับใคร ก็แผ่เมตตาจิตให้สมาชิกที่เราอยู่ด้วย ขอให้ทุกคนมีความสุข และนึกว่าเวลานั้นทุกคนมีความสุข
7 โมงเช้า อยู่ไหน กำลังเดินทาง ก็คิดว่ากำลังเดินทางด้วยความสุข ต่อให้เจอรถติดก็เป็นสุข
8 โมงเช้า 9 โมงเข้า อยู่ที่ Office นึกถึงทุกคนที่ Office มีความสุข ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสฯลฯ
นึกทบทวนเวลาใด สถานที่ใด กับใคร เราก็มีความสุข บริวารของเรามีความสุข แล้วก็กลับมาอยู่ที่จิตปัจจุบัน คือ ตี 5 อย่างนี้อาจารย์เรียกว่าเป็นการแผ่เมตตาล่างหน้า
“ผู้ปฏิบัติจริงๆ ดูปัจจุบัน”
การดำเนินชีวิตเราต้องมีความระมัดระวังสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น มีสติในการคิด การพูด การทำ มีความระมัดระวังเพิ่มขึ้นในชีวิต นการดำเนินชีวิตมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น เราก็เรียกว่า มีสติเพิ่มมากขึ้น ความผิดพลาดก็น้อยลง เมื่อเราระมัดระวังในการดำเนินชีวิตเพิ่มมากขึ้น จิตใจของเราที่มีความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้น ทั้งความรู้สึกไม่สบายใจ น้อยใจ วิตกกังวล กลัว เราต้องเข้าใจชัดเจนว่า ความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในจิตใจของเรา เป็นขยะในจิตใจของเรา บางเหตุการณ์กระทบความรู้สึกของเรา ทั้งคำพูดต่างๆ เป็นเพียงสิ่งที่มากระตุ้นจิตใจของเรา ทั้งสรรเสริญ นินทา เสื่อมจากยศ เสื่อมจากลาภ จากจิตใจของเรา
ความรู้สึกต่างๆ เป็นขยะในจิตใจเรา ไม่ต้องไปห้ามไม่ให้เกิดขึ้น บ้านย่อมมีขยะ จิตใจเราย่อมมีขยะ แต่เราต้องรู้จักจัดการขยะ ไม่สบายใจก็ไม่ต้องไปห้าม แต่ทำจิตใจของเราให้สบายใจ รู้จักคิดดี คิดถูก หมายความว่า ความรู้สึกน้อยใจเกิดขึ้น ก็อย่าไปติดตามความรู้สึกน้อยใจ เพราะความน้อยใจเป็นขยะ ถ้าเราตามคิดก็เกิดเป็นมโนกรรม ออกมาทางวาจา ก็เป็นวจีกรรม หรือออกมาทางร่างกาย ก็เป็นกายกรรม ความน้อยใจ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาท ความกลัว ล้วนเป็นขยะทางอารมณ์ ข้อสำคัญ ใจสงบ ใจสบาย คิดดี คิดถูก
ใช้สติปัญญาดูความรู้สึกว่า ความรู้สึกที่เป็นขยะทางจิตใจ ถ้าคิดดี คิดถึงสติปัญญา คิดถูกว่า เป็นความรู้สึกไม่ดี เป็นขยะปล่อยไปเสีย ความไม่สบายใจก็หายไป
เราต้องมีอุบายของตนเอง เราจะทำอย่างไรในการเอาขยะออกจากใจของเรา ทุกข์ สุข สรรเสริญ นินทา มากระทบจิตใจเรา เราเลี่ยงไม่ได้ พระพุทธเจ้า หรือศาสดาของศาสนาใดๆ ก็ตามก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติเปรียบเหมือนลม ฝน แดด เป็นต้น ไม่สามารถเลี่ยงได้
ปัญหาต่างๆ ในที่ทำงานเช่นกันเราเลี่ยงไม่ได้ ห้ามไม่ได้ เราต้องทำจิตใจของเราให้มั่น ให้ดี เมื่อมีเหตุการณ์ใดมากระทบต้องรับแก้ไขทันที สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถรักษาสุขภาพใจเราให้ดี อย่าปล่อยให้อารมณ์ให้เราไม่สบายใจ กำหนดรู้เท่านั้นว่า ความไม่สบายใจนี้ไม่ใช่เรา มันตั้งอยู่ไม่ได้ เมื่อมีความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้น ให้ตั้งสติว่า หินน้อยๆ หมายถึง สติที่ระลึกในจิตใจที่ดี จิตของเราใสตามธรรมชาติ อารมณ์เป็นขยะปฏิกูล หายใจเข้า หายใจออก ก็คิดอย่างนี้ และอารมณ์ต่างๆ นั้นก็จะหายไป
ความรู้สึกเกิดขึ้น เราเป็นผู้มีความยึดมั่นถือมั่นเข้าไปยุ่งกับอารมณ์ จะมีการปรุงแต่ง เราต้องมีสติ เรียกสติกลับมา ลองดูความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ จัดการแก้ไขด้วยการหายใจเข้า หายใจออก กลับไปกลับมาต่อเนื่องกันไป แล้วความไม่สบายใจก็จะหายไป สำหรับพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวก ขยะในใจไม่มี เพราะไม่มีกิเลส เรายังมีกิเลสย่อมมีขยะในใจ เราต้องรู้จักวิธีในการจัดการ
“หมดกิเลส หมดขยะ”
ความไม่สบายใจเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่ต้องไปห้าม แต่เราต้องอย่ายึดมั่นถือมั่น อย่าให้เกิดมโนกรรมด้วยการคิดๆ ๆ ๆ พูด ๆๆๆ ทำ ๆๆๆ ให้จัดการปรับปรุงแก้ไขเฉพาะในใจเรา เราต้องคิดดี พูดดี ทำดี ในทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น
“คิดดี คิดอย่างไร”
การคิดดี พูดดี ทำดี เพราะใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้าของชีวิต เมื่อคิดดีแล้ว ก็จะพูดดี ทำดี แต่เป็นเพราะเรายังมนุษย์ตระกูลขี้ต่างๆ (ขี้น้อยใจ ขี้โกรธ ฯลฯ) ก็ยังสามารถเกิดขึ้น เราต้องตั้งใจว่าจะคิดดี พูดดี ทำดี จุดนี้เป็นจุดสำคัญ เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่ตกเป็นทาสของความไม่สบายใจ เราต้องอยู่เหนืออารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าเราสามารถจัดการอารมณ์ต่างๆ ได้ เราก็จะสามารถเข้าใจอารมณ์ของตนเอง เข้าใจอารมณ์ของเพื่อนๆ ที่มีอารมณ์นั้นๆ เราก็จะพยายามรักษาอารมณ์ของตนเอง เข้าใจตนเอง แล้วเข้าใจเพื่อนร่วมงาน เราก็จะเกิดเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมงาน
ทุกคนเป็นเหมือนกันทุกคน เรามีอารมณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจของเรา ที่ทำงานก็เป็นกันครบ ถ้าเราเข้าใจตัวเรา เราก็จะเข้าใจเขา ทำงานด้วยกัน เค้าจะด่า จะว่า เราก็ทำใจได้ เราก็จะสามารถทำหน้าที่ของเราได้สมบูรณ์
เข้าใจอารมณ์ตนเอง เข้าใจตนเอง เมตตากรุณาเกิดขึ้น ทำงานไม่ขัดแย้ง เราจะพยายามหาหนทางว่า ทำงานอย่างไรจะทำให้งานนี้ดี
พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้โลกะวิทู แปลว่าอะไร แปลว่า ท่านรู้แจ้งซึ่งโลก เพราะท่านเข้าใจตนเอง เราพยายามดูจิตใจของตนเองให้พิจารณาใจของตนเองตลอดเวลา เราจะพยายามศึกษาอารมณ์ต่างๆ ของตนเองที่เกิดขึ้น พยายามเข้าใจอารมณ์ตนเอง เราจะเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น การทำงานก็จะดีขึ้น
ธรรมชาติของจิตใจที่ไม่เหมือนกัน ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน ชีวิตของเราเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารต่างกันมากมาย เราจึงคิดและรู้สึกต่างกัน ทั้งชอบ ไม่ชอบ หรือเรียกว่า นานาจิตตัง ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็เอาแต่อารมณ์ตนเอง งานก็มีปัญหา ถ้าทำงานด้วยกัน เจอคน 100 คน ก็เหมือนมีผลไม้อยู่ 100 ชนิด เป็นสวนผลไม้รวม ทีนี้ลองดูว่าเราเหมือนผลไม้อะไร เราลองสังเกตเราชอบผลไม้อะไรจากผลไม้นานาชนิด อย่างเราเรียนมาสูง เราคิดว่าเป็นทุเรียน ราชาของผลไม้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะชอบทุเรียน บางคนก็ไม่ชอบ ว่ามีกลิ่นเหม็นบ้าง ราคาแพงบ้าง บางผลไม้เราชอบแต่คนอื่นไม่ชอบก็มี ดังนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่า ไม่ให้เราไปยินดียินร้ายกับความชอบ ไม่ชอบในผลไม้ต่างๆ ให้เราวางใจให้เป็นกลางๆ ผลไม้บางอย่างเราชอบแต่ก็ไม่อร่อย ผลไม้ที่อร่อยเราก็อาจไม่ชอบ ผลไม้บางอย่างมีคุณค่าทางอาหารเราก็อาจไม่ชอบ สิ่งที่เราชอบอาจไม่มีคุณค่าทางอาหาร ดังนั้นให้พิจารณาว่าความชอบไม่ชอบเป็นความรู้สึก ความมีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า อย่ายึดมั่นถือมั่นยินดียินร้ายต่ออารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น หรืออย่ามีความลำเอียงหรือ อคติ ทั้ง โมหะคติ ลำเอียงเพราะความชอบ โทสะคติ ละเอียงเพราะความโกรธ หรือ ภยคติ ลำเอียงเพราะความกลัว
การทำงานเราอย่าลำเอียงเพราะชอบ ไม่ชอบ หรือมีอคติ เมื่อเกิดความรู้สึกเกิดขึ้นก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปยินดียินร้าย ต้องอบรมจิตใจของเราให้ใจเย็นๆ ต้องค่อยศึกษาคุณภาพย่อมดี ตัวอย่างเช่น อาหารนี้ดีมีประโยชน์ เราก็อย่าหลงใหล ทำใจเป็นกลาง เราก็จะมีความคล่องตัว เช่นเดียวกับการทำงาน ถ้าเราลำเอียง เราก็จะทำงานไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมาย งานอาจไม่เป็นทีม จิตใจต้องเป็นกลางออกจากอคติ ความรู้สึกส่วนตัว ต้องรู้เท่าทันความรู้สึก การทำงานจริงๆ เราต้องแยกและรักษาจิตใจของเราให้ดี มีสติปัญญา มีความระมัดระวัง ความเสียหายก็จะไม่เกิดขึ้น เราต้องเข้าใจจุดนี้ ถ้าไม่เข้าใจเราก็สร้างปัญหาได้เหมือนกันผลไม้ที่เราชอบคนอื่นไม่ชอบก็มี ดังนั้น อย่าเชื่อความรู้สึก อย่ายึดมั่นถือมั่น จิตใจของเราก็จะเป็นอิสระเพิ่มมากขึ้น เราจะเป็นนายของอารมณ์ เป็นนายของความรู้สึก ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น เราก็จะเป็นทาสของอารมณ์ เราก็ไม่มีอิสระ
สิ่งเหล่านี้เราต้องมองดูตนเองและมองดูผู้อื่นด้วย ถ้าเราเป็นอิสระ ทำงานเพื่อทำงาน ทำงานย่อมได้ผลดี เข้าใจตนเอง ย่อมเข้าใจผู้อื่นด้วย พยายามสังเกตศึกษาตนเอง ทุกอย่างอยู่ที่ใจถ้าเข้าใจตนเองย่อมเข้าใจผู้อื่น
ความรู้สึกของเราต่างกันมาก เช่น ตุ๊กแกตัวหนึ่งก็ทำให้เกิดความคิดความรู้สึกแตกต่างกันไป ถ้าคนทำความสะอาดได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องก็จะไม่พอใจ เพราะแสดงว่าสถานที่นั่นสกปรก อีกคนได้ยินอาจไม่ชอบเพราะน่ารำคาญ อีกคนได้ยิน อาจคิดว่าอร่อยเพราะเคยกินมาก่อน บางคนได้ยินมีความสุข คิดถึงตอนที่อยู่พร้อมหน้าล้อมวงกินข้าวกินตุ๊กแกย่างกับครอบครัว ส่วนคนที่จับตุ๊กแกขายได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องก็คิดตีราคา นึกคิดว่ามีกี่ตัว บางคนกลัวตุ๊กแก ได้ยินเสียงร้องบอกว่าอยู่ร่วมศาลาเดียวกันก็นอนไม่หลับ นี้แค่ตุ๊กแกตัวเดียวยังมีความคิด ความรู้สึกต่างกันขนาดนี้
คนชอบมักมีความชอบด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และไม่ชอบด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ดังนั้นหากในกรณีนี้สมมติว่า ตอนนี้เราเป็นตุ๊กแก คนจะชอบหรือไม่ชอบเรา ก็ไม่เกี่ยวกับเรา เราห้ามความคิด ความรู้สึกของเขาไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องอย่าไปยินดียินร้ายกับอารมณ์ ทำใจให้เป็นกลางๆ ทำให้เราสบายใจ เจริญเมตตาภาวนา รู้จักจัดการอารมณ์โดยการยิ้มน้อยๆ ในใจ หายใจเข้า หายใจออก ยาวๆ ทำใจสบายๆ เราก็จะรักษาจิตใจของเราได้