สรุปเฉพาะบางประเด็นที่น่าสนใจนะคะ และเลือกบางคนที่สนใจปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่หากท่านใดเห็นว่าเป็นประโยชน์ จะส่งผลเป็นธรรมทาน ก็ไม่หวงห้าม ขออนุโมทนาสาธุ
· สิ่งต่างๆ ที่เราได้พบ ได้เห็น ได้ฟัง น่าพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เวลาเรา in เราก็มีอารมณ์ไปกับสิ่งที่มากระทบ ถ้าเราทำใจเสียได้ว่า สิ่งที่มากระทบเราในทุกวันนี้ก็เป็นผลของกรรมที่เราได้ทำไว้นั่นเอง มาส่งผล ทุกครั้งที่เราไม่พอใจ เสียใจ หากคิดก่อนว่า เป็นผลของวิบากกรรม เราจะไม่มุ่งไปที่เรื่องที่ทำให้เราไม่พอใจ เสียใจ และไม่มุ่งไปที่คนที่มารกะทบเรา แต่พระพุทธศาสนาก็ไม่ได้สอนให้หลับหูหลับตา ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบโดยไม่ดิ้นรนขนขวาย แต่สอนให้เรารู้จักหันมาพิจารณาตนเอง ว่าเราเป็นอย่างไร เค้าเป็นอย่างไร เราต่างกันเพราะเหตุปัจจัยที่ต่างกัน เรามีทุกข์ เค้าก็มีทุกข์ ทำใจเป็นกลาง แผ่เมตตาให้เค้าไป อธิษฐานจิตว่า ถ้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา ก็ขอส่งบุญให้ ขอให้เค้ามีแต่ความสุข และอโหสิกรรมให้เรา ส่วนของเรา เราก็จะเลิกพยาบาทผูกเวรตั้งแต่นี้ต่อไป และกรรมใดที่เคยล่วงเกินกันไปก็ขอยกเป็นอโหสิกรรมกันไป อันนี้เห็นว่าทำได้ยากและเป็นประโยชน์มาก
· จิตของเราละเอียดมาก เราตั้งใจก็ตามไม่ตั้งใจก็ตาม ส่งที่ผ่านมากระทบเราจะถูกบันทึกไว้ในจิตใจของเราทั้งหมด เวลาเราได้ปลีกวิเวก ได้อยู่กับตัวเอง ไปปฏิบัติธรรม เราจะรู้ว่าเรื่องที่ผ่านเข้ามานั้นไม่ได้หายไป เรื่องต่างๆ จะฟุ้งขึ้นมาให้เห็น ถ้าจิตเราปรุงต่อ โทสะ โมหะก้เกิดขึ้น ถ้าเรารู้ทัน ก็เหมือนลอกเศษขยะออกจากใจ
· การตั้งฐานของจิต ต้องตั้งฐานให้ถูก ตั้งไม่ถูกก็ตัดกิเลสไม่ได้ เช่น เวลาเห็นของถูกใจกำหนดว่า เห็นหนอ แต่เวลาภาวนาว่าเห็นหนอ สติมันจับอยู่ที่ของมันไม่ได้จับที่ภาพที่ปรากฎที่ตา ใจมันก็จะปรุงต่อว่า อยากได้ อยากได้ อยากได้ จะเอา จะเอา จะเอา
· อันนี้เพิ่มเติมอ่านจากพระไตรปิฎก สรุปประมาณว่า พระพุทธเจ้าเทศนาในพระสูตรว่า กามเป็นสุขน้อย ทุกข์มาก ส่วนความสุขจากผลของการปฏิบัติ มีสุขมาก ทุกข์น้อย ท่านเปรียบกับสุนัขนั่งแทะกระดูกอยู่ กระดูกที่เปื้อนเลือดไม่ได้ทำให้สุนัขอิ่มแต่สุนัขก็ยังนั่งแทะอยู่ อันนี้สุขยายเพิ่มเติมเองว่า วัตถุประสงค์ของสุนัข ถ้าหิวก็ควรหาอะไรกินจะได้อิ่ม แต่สุนัขกลับเพลิดเพลินกับการแทะกระดูก เลยไม่หาอะไรกิน หรือพูดง่ายๆ ว่ามัวแต่สนใจกระดูกอยู่ เลยไม่สนใจความสุขอันอื่นที่จะมีเข้ามา
· ในพระสูตร พระพุทธเจ้าสอนเรื่องโมหะ เรื่องของความหลงเพลิดเพลิน ท่านตอบคำถามว่า ทำไมคนถึงยังปฏิบัติธรรมน้อย ทั้งที่ให้ประโยชน์มาก ท่านกล่าวว่า คนเราจะอยู่ในความสุขที่พึงใจไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีความสุขจากสิ่งอื่นที่ดีกว่า สูงกว่า มาแทน จึงจะพรากจากความสุขจากโมหะที่ยึดติดอันเดิม ประมาณว่า (สุว่า) คนที่มีความสุขทางโลก สมบูรณ์โลกอยู่ ยังไม่เจอความทุกข์ ก็เลยติกกับความสุขเดิมๆ อยู่ ขณะที่การปฏิบัติธรรม เมื่อยังไม่เคยปฏิบัติก็ยังไม่เคยได้รับรส ว่ารสธรรมมีความเงียบ ความสงบ ความสุขที่ปราศจากการดิ้นรน เป็นความสุขในระดับที่สูงกว่า แต่เมื่อไม่เคยเกิดความรู้สึกนี้ ย่อมรู้สึกว่า ความสุขจากทางโลก ยังดีอยู่ จึงยังติดข้องอยู่ต่อไป
· ในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ตอนจบให้ผู้ร่วมปฏิบัติมาแสดงความรู้สึก มีน้องคนหนึ่งน่าสนใจมาก มาปฏิบัติเข้าแต่อายุเพียง 19 ปีเท่านั้น บอกว่า ช่วงนี้เป็น gap year ระหว่างรอเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนี้สอนเข้าแคมบริดได้แล้ว มีความสุขมาก ยิ่งพ่อแม่ให้รางวัลด้วยการทัวร์ยุโรป ยิ่งมีความสุขแบบสุดๆ และคิดว่า นี้เป็นเพราะผลบุญที่ได้ทำมา และคิดว่า ถ้าผลบุญนี้หมดก็ไม่จะสุขอีกต่อไป เลยขอพ่อแม่มาปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างเสริมบุญบารมีต่อไป ฟังแล้วสาธุมาก น้องเค้าไอเดียบรรเจิดสุดๆ และคิดว่า แนวคิดของน้องเค้าให้ข้อคิดเตือนใจพวกเรากันได้ เลยขอแชร์ค่ะ